โลกของสื่อโซเชียลในปัจจุบันทำให้สภาพของการรับรู้ข่าวสารในโลกนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเป็นอย่างมากสื่อโซเชียลในยุคนี้ประกอบไปด้วยข่าวออนไลน์นิวส์, ทวิตเตอร์, เฟซบุ๊ค, อินสตาแกรม, ไลน์, ยูทูบ, เมล อิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ ยังผลให้สื่อที่เป็นกระแสหลักถึงกับมีอาการ “วูบ” นั่นคือยอดขายและยอดคนเข้าชมลดลงไปอย่างรุนแรงเป็นไปตามกระแสนิยมของโลกยุคไทยแลนด์ 4.0 ที่รัฐบาลชุด
ปัจจุบันคือรัฐบาล คสช.ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ประกาศไว้ว่าเป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาล
การที่สื่อสังคมออนไลน์ได้รับความนิยมมากมายจากประชาชนคนเสพสื่อทั่วโลกทำให้ปริมาณของผู้ที่เสพสื่อหลักๆ ลดลงไปอย่างน่าใจหายโดยเฉพาะในไทยส่งผลที่ตามมาหลายอย่างมากเช่น ยอดขายหนังสือพิมพ์รายวัน รายสามวัน รายสัปดาห์ รายเดือนลดไปอย่างผิดปกติยังผลให้สื่อประเภทสิ่งพิมพ์เหล่านี้ยอดขายลดลงไปแบบเรียกได้ว่าเป็นไฟไหม้ฟาง ยอดขายของหนังสือพิมพ์รายวันลดลงจากบางฉบับที่เคยจำหน่ายได้วันละ 800,000 ถึง 1 ล้านฉบับ เคยตีพิมพ์ได้ถึง 6 กรอบ เหลือเพียง 2 กรอบ ยอดขายลดลงเหลือแค่วันละ 2-3 แสนฉบับเท่านั้น
หนังสือพิมพ์รายวันบางฉบับที่เคยขายได้วันละ 250,000 ฉบับ มีการพิมพ์ 4 กรอบ เหลือแค่ 2 กรอบยอดขายเหลือแค่วันละ 1 แสนฉบับ ส่วนบางฉบับที่เป็นฉบับเล็กๆก็ต้องปิดกิจการไปหนังสือที่เป็นพ็อกเกตบุ๊คก็ขายไม่ได้ยอดขายลดจนถึงขั้นต้องปิดสำนักพิมพ์ นิตยสารรายเดือน รายปักษ์ รายสัปดาห์ต้องปิดกิจการเพราะยอดขายลดลงจนสำนักพิมพ์ต้องปิดตัวเองทั้งๆ ที่บางฉบับเคยมียอดขายสูงมากถึงสัปดาห์ละ 2 แสนฉบับ ต้องปิดเพราะยอดเหลือแค่ 3 หมื่น หาโฆษณามาเพิ่มไม่พอค่าใช้จ่าย
สื่อโทรทัศน์และวิทยุกระจายเสียงก็ได้รับผลอย่างเดียวกันโดยเฉพาะในประเทศไทย มองทางด้านวิทยุกระจายเสียงเอฟเอ็มก่อนบางคลื่นวิทยุเอฟเอ็มเคยมีรายรับจากเม็ดเงินโฆษณาเดือนละ 9-10 ล้านบาทยอดเงินรายได้จากโฆษณาลดลงไปมาเหลือแค่ 2 ล้านบาทรายรับไม่พอรายจ่ายก็ต้องปิดตัวเองไป คลื่นวิทยุเอฟเอ็มที่เหลือในตลาดมีเฉพาะคลื่นเพลงลูกทุ่งเท่านั้นที่ยังมีแฟนๆ เพลงมากพอในการใช้ขายโฆษณาได้
ส่วนสื่อโทรทัศน์ที่กลายเป็นคลื่นแบบดิจิทัล 24 คลื่น ผลของสื่อโซเชียลทำให้สถานีโทรทัศน์เป็นจำนวนมาก มีภาวะขาดทุนไม่สามารถหารายได้พอในการจ่ายเงินให้คณะกรรมการกสทช.ได้จนในที่สุดรัฐบาล คสช.ต้องใช้มาตรา 44 ออกมาช่วยให้ชะลอการจ่ายเงินค่าธรรมเนียมให้กสทช.ออกไปก่อน ในขณะที่สถานีโทรทัศน์เป็นจำนวนหลายช่องต้องลดภาระค่าใช้จ่ายด้วยการลดคนทำงานออกไปจากที่เคยมีเป็นหลักพันคนเหลือแค่ 2-3 ร้อยคน
ปัจจุบันนี้สื่อโซเชียลทั้งหลายมีอิทธิพลมากในบ้านเราถึงขนาดที่ว่าการหาเสียงทางการเมืองด้วยโซเชียลถูกสั่งเบรกจากรัฐบาลคชส.โดยมีกติกาว่าการหาเสียงทางโซเชียลของทุกพรรคการเมืองในขณะนี้ยังไม่เปิดโอกาสให้จนกว่าจะถึงวันที่ 16 ธันวาคมปีนี้ซึ่งเป็นช่วงก่อนวันเลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ประมาณ 69 วัน
โดยพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ว่าเมื่อถามถึงกรณีที่พรรคการเมืองหลายพรรคยังสงสัยเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์หรือหาเสียงผ่านสื่อโซเชียลที่ยังไม่ชัดเจน พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ยังไม่ให้หาเสียงหรือนำนโยบายใดๆ มาเปิดเผยในขณะนี้
ทางด้านข้าราชการทหารกับโซเชียลมีเดียนั้น พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวถึงการใช้สื่อโซเชียลของข้าราชการทหารว่าการใช้สื่อโซเชียลที่เหมาะสมเป็นแนวทางการบริหารจัดการของหน่วยนั้นๆ เชื่อว่ายังมีลักษณะยืดหยุ่นในการขอความร่วมมือได้เพื่อให้อยู่ในจุดที่เหมาะสมเนื่องจากบางหน่วย ต้องทำงานร่วมกับพลเรือน จึงต้องมีความเข้มงวดในเรื่องเหล่านี้ ส่วนการเข้มงวดกำลังพลเรื่องใช้โซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ค ไลน์ หรือไอจีนั้น เบื้องต้นส่วนกลางยังไม่มีการออกระเบียบอะไรที่เกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดียของกำลังพลเป็นการเฉพาะ
เพียงแต่ขอความร่วมมือให้ใช้โซเชียลมีเดียอย่างระมัดระวัง เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ที่ผ่านมาพบว่ามีกำลังพลใช้โซเชียลมีเดีย โดยไม่มีความสำรวม จึงต้องเข้าไปเน้นย้ำเรื่องระเบียบวินัยเพราะการดำเนินการต่างๆ ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กร เนื่องจากตอนนี้สังคมให้ความสนใจเรื่องของทหาร จึงต้องมีการเน้นย้ำเป็นระยะ ควรจะใช้โซเชียลในจุดที่เหมาะสม
ในเรื่องภาพลักษณ์ของกองทัพนั้น ที่ผ่านมาผู้บังคับบัญชาได้เน้นย้ำ กำชับอยู่เสมอให้ระมัดระวัง ไม่ว่าจะเป็นตัวของกำลังพลเองรวมถึงภาพลักษณ์หน่วยงานให้เป็นที่ยอมรับของสังคม สิ่งใดที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงตัวบุคคล หรือต่อหน่วย ต้องพยายามหลีกเลี่ยงเนื่องจากการใช้โซเชียลมีเดียในปัจจุบันมีบทบาทสำคัญจึงขอให้กำลังพลระมัดระวังโดยขอให้อยู่ในกรอบกฎหมายและเป็นไปในทางสร้างสรรค์
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี