คุณกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และผู้ตรวจการแผ่นดิน ในกรณีที่ ปตท.ให้บริษัทลูกซึ่งคือ GPSC ซื้อ Glow บริษัทเอกชนที่เป็นบริษัทผลิตไฟฟ้า ซึ่งคุณกรณ์ขอให้ผู้มีอำนาจทบทวน และประสงค์ที่จะให้ศาลฯ พิจารณาว่า “อาจขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่” เพราะเข้าข่ายว่า อาจจะทำให้เกิดการแข่งขันกับเอกชนในกรณีที่ไม่จำเป็น ในกรณีการผลิตและขายไฟฟ้า
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นท้วงติงเพิ่มเติม ต่อการสยายปีกธุรกิจกาแฟอเมซอนออกนอกปั๊ม รุกหนักไปในพื้นที่ชุมชน ห้างร้าน ตลาดสด ตลาดนัด โรงเรียน โรงพยาบาล ศูนย์ราชการ ซึ่งมี “ร้านกาแฟของชาวบ้าน” ประกอบธุรกิจอยู่แล้ว ในประเด็นนี้ยังไม่มีการยื่นใดๆ และไม่ได้ประสงค์จะให้ยุบอเมซอนแต่อย่างใด ยังคงเป็นเพียงข้อท้วงติงเท่านั้น แต่จะมีการยื่นตีความหรือไม่อย่างไร ต้องติดตามต่อไปครับ
สำหรับวันนี้ เนื้อหาของบทความจะเป็นคำอธิบายที่คุณกรณ์ จาติกวณิช ได้เขียนชี้แจงเอาไว้ เพื่อความเข้าใจในเจตนารมณ์ของคุณกรณ์เองที่ต้องเสียสละโดนหลายต่อหลายคนในวงการเดียวกันเข้าใจผิดมากมายตั้งแต่เริ่มทำเรื่องนี้ และเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันมากขึ้น อยากให้ทุกฝ่ายได้อ่านคำชี้แจงนี้ไปด้วยกันครับ
เรื่องนี้เป็นทั้งเรื่อง “นโยบาย” และ “กฎหมาย” ไม่ใช่ปัญหาความขัดแย้งหรือการทะเลาะเบาะแว้งใดๆ เราคงต้องเลือกระหว่างการมี National Champion แบบปตท. (หรือทุนใหญ่อื่นๆ) ที่เติบโตด้วยการรุกคืบในพื้นที่ของผู้ประกอบการคนไทยด้วยกัน (โดยมีรัฐถือหาง) หรือเราอยากมีระบบเศรษฐกิจที่มีผู้ประกอบการที่หลากหลาย ประชาชนมีช่องทางการค้าขาย และมีรัฐที่คอยคุ้มครองรักษาความเป็นธรรมตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
------------------------
สังคมเราพูดกันเยอะเรื่องโอกาสการทำมาหากินของชาวบ้าน เรื่องอิทธิพลทุนใหญ่ และเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญในการแก้ปัญหาเหล่านี้คือ การมีระบบการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม และศัตรูของความเป็นธรรมคือ “ระบอบอุปถัมภ์” ที่เอื้อทั้งกับทุนใหญ่เอกชน และกับหน่วยงานของรัฐ ระบอบนี้ถูกเสริมอย่างเป็นระบบผ่านหลักสูตรต่างๆ ที่แย่งชิงกันเข้าเรียน ไม่ว่าจะเป็น วปอ. วตท. หรือ วพน. (ที่มีปตท. เป็นโต้โผใหญ่)
ประเทศไทยเรามีครบทุกกลไกที่จะกำกับให้การแข่งขันเป็นธรรม แต่ก็พบกับปัญหาเดิมๆ คือความล้มเหลวในการบังคับใช้ เรามีกฎหมาย พ.ร.บ. การแข่งขัน (ที่ไม่เคยมีการบังคับใช้แม้แต่ครั้งเดียว) เรามีคณะกรรมการชุดต่างๆ (เช่น กกพ. และกสทช.) ซึ่งมีปัญหาอย่างไรมาแทบทุกยุคทุกสมัย และเราก็มีรัฐธรรมนูญที่คุณกรณ์ได้อ้างถึงโดยมาตรา ๗๕ ห้ามรัฐทำธุรกิจแข่งกับเอกชน แต่ก็ปรากฏว่านับวัน “ความเสมอภาค” ในการแข่งขันก็ดูเหมือนมีแต่จะแย่ลง
ดังนั้นจึงได้ยื่นร้องเรียนต่อท่านนายกฯ เพราะปัญหานี้เป็น “ปัญหาระดับนโยบาย” ย้ำอีกครั้งว่า เป็นเรื่องของนโยบายที่เป็นแนวทางของประเทศ มิใช่ประเด็นพิพาทใดๆ ต่อปตท.เป็นการเฉพาะทั้งสิ้น ซึ่งหากเราเอาจริงกับการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เสรีและเป็นธรรม เราต้องเริ่มกับหน่วยงานของรัฐเองเสียก่อน
ในประเด็น GPSC ซื้อ Glow นั้น ไม่ได้เป็นเพียงที่แสดงความกังวลต่อการผูกขาดที่จะเกิดขึ้น เพราะกลุ่มปูนซีเมนต์ SCG รวมไปถึงผู้ประกอบการในนิคมมาบตาพุดอีก 10 ราย ได้ถึงกับทำหนังสือร้องเรียนถึง กกพ. และรัฐบาลให้ระงับแผนการซื้อหุ้นโดยปตท. ซึ่งประเด็นที่เขาร้องเรียนคือ เขาจะถูกบังคับให้มีสภาพที่ต้องจำยอมเป็นลูกค้าของคู่แข่ง ซึ่งก็คือปตท.
หลายท่านอาจจะบอกว่า GPSC ไม่ใช่ปตท. และได้พูดถึงสัดส่วนหุ้น 22% ที่ถือโดยปตท. แต่จะมองข้ามอีก 50% ที่ถือโดยบริษัทลูกของปตท. ซึ่งทำให้ปตท. มีสิทธิกว่า 50% ในผลประกอบการของ GPSC และที่สำคัญคือผู้บริหาร GPSC ล้วนเป็นคนของปตท. ทั้งสิ้น
หากเรายอมให้รัฐวิสาหกิจเลี่ยงความรับผิดชอบทางกฎหมายด้วยการตั้งบริษัทลูกแล้วถือไขว้กันไปมาแบบนี้แล้วล่ะก็ มาตรา ๗๕ ในรัฐธรรมนูญก็ควรต้องลบทิ้งไป และหลักการ “รัฐไม่ควรแย่งประชาชนหากิน” ก็ไม่ต้องพูดถึงอีกด้วย แบบนี้จึงเห็นควรให้ศาลฯ ท่านกรุณาพิจารณาและตีความครับ
ส่วนกรณี PTTOR ซึ่งเป็นบริษัทลูกของปตท.ที่เป็นเจ้าของร้านกาแฟอเมซอน ขณะนี้ปตท. ยังถือหุ้นอยู่ 100% เต็ม และถือเป็นรัฐวิสาหกิจเต็มตัว แม้ว่ามีแผนจะขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯในไม่ช้าก็ตาม
ส่วนประเด็นความกังวลที่มีว่า ไฟฟ้าในอนาคตจะไม่พอ คุณกรณ์ย้ำว่าปัญหาบ้านเราส่วนหนึ่งตอนนี้คือ กำลังผลิตที่มากเกินไป และจะมากขึ้นเรื่อยๆไปอีกหลายปี ซึ่งเป็นเหตุจากการประมาณการความต้องการที่คลาดเคลื่อนในอดีต ไม่เชื่อลองถาม Glow ดูได้ครับว่ากฟผ. รับซื้อไฟจากโรงไฟฟ้าเขาเท่าไรในช่วงปีที่ผ่านมา (ตอบให้ก็ได้ครับ - กฟผ. รับซื้อไม่ถึง 10% ของกำลังผลิตโรงไฟฟ้าก๊าซของ Glow เพราะความต้องการใช้ไฟน้อย) ส่วนที่บอกว่า “แค่ผลิตใช้เองในมาบตาพุด ไม่พออยู่แล้ว” นั้น
ข้อเท็จจริงคือปตท. ไม่ได้ตั้งใจซื้อ Glow เพื่อใช้ไฟและไอน้ำเอง แต่ซื้อเพื่อขายให้ลูกค้าคนนอกและกฟผ. และหากซื้อเพื่อใช้เองคงถือว่าเป็นการลงทุนที่แพงมากๆ
เรื่องการลงทุนครั้งนี้จริงๆ ก็มีประเด็นเรื่องความคุ้มค่าของเม็ดเงินเช่นกันครับ ปตท. จะใช้เงิน 100,000 ล้านบาท ในการซื้อหุ้น ซึ่งกว่าครึ่งต้องชำระให้กับผู้ถือหุ้นต่างชาติ ดังนั้นเงินก้อนนี้จะถูกโอนกลับไปต่างประเทศและไม่เกิดประโยชน์ใดๆ กับคนไทย ซึ่งต้องอย่าลืมว่ากว่าครึ่งของเงินนี้เป็นของคนไทยผ่านหุ้นที่รัฐถือในปตท. และเป็นการซื้อโรงไฟฟ้าที่มีอยู่แล้ว และไม่ได้ทำให้มีทรัพย์สินสร้างขึ้นใหม่ให้กับประเทศไทยเรา
คุณกรณ์ย้ำไว้ว่า ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการทำกำไรโดยนักลงทุนต่างชาติ แต่ก็ต้องบอกว่าผิดหวังที่ปตท. ไม่สามารถนำเงินมหาศาลนี้ ไปสร้างประโยชน์ให้กับประเทศได้มากกว่านี้
ส่วนเรื่องกาแฟอเมซอน ประเด็นหลักคือการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการอื่นๆ ซึ่งหมายถึงผู้ประกอบการไทย ที่พยายามสร้างแบรนด์ของคนไทยขึ้นมาเช่นเดียวกับอเมซอน เช่น D’oro วาวี หรือ Black Canyon และรวมไปถึงชาวบ้านรายเล็กรายน้อยตามถนนหนทางและชุมชนต่างๆ ซึ่งผู้ประกอบการเหล่านี้ไม่มีฐานการเงินที่เข้มแข็งอย่างปตท. และไม่ได้มีความได้เปรียบจากการมีปั๊มน้ำมันเป็นพันๆ ปั๊มทั่วประเทศ ซึ่งความได้เปรียบทั้งหมดนี้มีจุดเริ่มต้นจากการที่ปตท. เป็นรัฐวิสาหกิจ
หากถามว่า ไม่ภาคภูมิใจหรือ ที่เรามีแบรนด์คนไทย และไม่ภาคภูมิใจหรือที่ปตท. ทำกำไรให้กับคนไทย คงจะตอบว่าคนไทยคนอื่นเขาก็พยายามสร้างแบรนด์อยู่เหมือนกัน และเขาไม่ได้มีฐานความเข้มแข็งที่มาจากความเป็นรัฐมาสร้างความได้เปรียบ
ส่วนการมีกำไรนั้นดีกว่าขาดทุนแน่นอน แต่กำไรของปตท. เกือบทั้งหมดมาจากการค้าขายกับคนไทย (โดยอาศัยสิทธิผูกขาด) คุณกรณ์บอกว่า.. จะภาคภูมิใจมากกว่านี้แน่นอน หากปตท. ใช้ศักยภาพของตนในการสร้างรายได้ให้กับคนไทย ด้วยการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ หรือในการสร้างนวัตกรรมทางด้านแหล่งพลังงานตามพันธกิจก่อตั้งองค์กร
สุดท้ายจึงจะขอเน้นอีกครั้งครับว่า...
เรื่องนี้เป็นทั้งเรื่อง “นโยบาย” และ “กฎหมาย” เราคงต้องเลือกระหว่างการมี National Champion แบบปตท. (หรือทุนใหญ่อื่นๆ) ที่เติบโตด้วยการรุกคืบในพื้นที่ของผู้ประกอบการคนไทยด้วยกัน (โดยมีรัฐถือหาง) หรือเราอยากมีระบบเศรษฐกิจที่มีผู้ประกอบการที่หลากหลาย ประชาชนมีช่องทางการค้าขาย และมีรัฐที่คอยคุ้มครองรักษาความเป็นธรรมตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
ซึ่งตัวคุณกรณ์เอง บอกเอาไว้ว่า.. ไม่ได้ลงนามสนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ก็เห็นด้วยกับมาตรา ๗๕ นี้อย่างมาก และหวังอย่างยิ่งว่าผู้มีอำนาจหน้าที่จะไม่ยอมรับการหลีกเลี่ยงกฎหมายกันด้วยวิธีตื้นๆด้วยการถือหุ้นไขว้ แต่จะพิจารณาตามข้อเท็จจริงว่า “control” นั้นอยู่ในมือใคร
มิเช่นนั้น ตามที่ได้กล่าวไว้แล้ว “การรุกคืบกินพื้นที่” ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เศรษฐกิจเราจะไม่พัฒนา และที่สำคัญประชาชนทั่วไปจะมีโอกาสสร้างเนื้อสร้างตัวน้อยลง
แถมอีกนิดครับ ตอนนี้ชาวบ้านร้านตลาดบ่นกันว่า เงินไม่สะพัด เงินสดสะดุด ไม่มีเงินในมือ ไม่มีลูกค้า ลองนึกย้อนทวนตามกันไปสิครับว่า เม็ดเงินหายไปไหนอีกบ้าง และหากแนวนโยบายของประเทศจะมีการกระทำลักษณะแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เม็ดเงินของชาวบ้านจะเหลืออีกสักเท่าไหร่กัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี