เลือกตั้งครั้งนี้ น่าสนใจมาก
กติกาใหม่ ระบบสัดส่วนผสมการจัดสรรปันส่วน สส.
ขณะที่ขั้วการเมืองแต่ละฝ่าย เดิมพันสูงมาก
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักสื่อสารมวลชนชื่อดัง แนวร่วมมวลมหาประชาชนฯ แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊คไว้อย่างน่าคิดวิเคราะห์ต่อไปว่า
“คนที่ไม่เอาทักษิณ ไม่เลือกเพื่อไทย และเขามีทางเลือก 3 พรรคหลัก คือ ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ และรวมพลังประชาชาติไทย
คนที่จะเลือก 3 พรรคนี้น่าจะมี profile เดียวกัน
ถ้าทั้ง 3 พรรคส่งคนที่แข็ง คะแนนเสียงดีพอๆกัน ลงเขตเดียวกัน ระวังเสียงแตก
พลังประชารัฐและรวมพลังประชาชาติไทย จะต้องพยายามอย่าแข่งกัน อย่าส่งคนที่แข็งพอๆกันลงแข่งเขตเดียวกัน ถ้าของใครมีโอกาสมากกว่า อีกพรรคควรจะหลบด้วยการส่งคนที่ไม่ทำให้เสียงแตกลงไป
ไม่ว่าจะเป็นพรรคใดเป็นพรรคแข็งในแต่ละเขต จะต้องมั่นใจด้วยว่าคนคน นั้นที่ลงไปจะต้องชนะทั้งประชาธิปัตย์และเพื่อไทยที่ไม่เอานายกคนนอก แล้วถ้าคิดจะเลือกประชาธิปัตย์ ควรหาคำตอบให้ชัดเจนว่า เพื่อให้ได้นายกคนใน จะรวมกับ
เพื่อไทยตั้งรัฐบาลหรือไม่ เอากันให้ชัดๆ ก่อนกาบัตรนะคะ”
1. มุมมองของอาจารย์เสรี วิเคราะห์น่าสนใจ ในมุมการตลาด ผ่านการอ่านใจผู้ลงคะแนนเลือกตั้ง เสมือนเป็นลูกค้าที่จะตัดสินใจซื้อ หรือกาบัตรลงคะแนนให้พรรคไหน
เห็นด้วยกับ ดร.เสรีในประเด็นที่ว่า คนที่ไม่เอาทักษิณ ไม่เลือกเพื่อไทย และเขามีทางเลือก 3 พรรคหลัก คือ ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ และรวมพลังประชาชาติไทย
น่าจะเป็นความจริง แม้จะขาดไปบางส่วน คือ ส่วนที่ไม่เอาทักษิณ และไม่เอาพรรคประชาธิปัตย์ด้วย แม้ที่ผ่านมา จะมีไม่มากนักก็ตาม คือ ไปลงคะแนนโหวตโน ไม่ประสงค์จะลงคะแนนให้ใคร แม้สุดท้ายจะกลายเป็นเพียงสัญลักษณ์ แต่ในครั้งนี้ การโหวตโนจะมีผลในทางปฏิบัติ คือ ผู้ชนะการเลือกตั้งในระบบเขตจะต้องได้คะแนนเสียงมากกว่าโหวตโน
2. หากแบ่งขั้วแต่ละพรรคตอนนี้ ถึงนาทีนี้ ตามกระแสข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ อาจจัดกลุ่มดังนี้
กลุ่มแรก ไม่เอานายกฯ คนนอก ไม่ร่วมรัฐบาลที่มาจากนายกฯ คนนอกแน่นอน และถ้าได้เป็นรัฐบาลก็จะหาทางแก้รัฐธรรมนูญ รื้อทิ้งแผนยุทธศาสตร์ชาติ รวมถึงมรดกที่ คสช.ทำไว้ทั้งหลาย อันน่าจะได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาชาติไทย(วันนอร์) ฯลฯ
กลุ่มสอง ไม่ปฏิเสธนายกฯ คนนอก และเคยแสดงท่าทีหนุนบิ๊กตู่เป็นนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้ง อันน่าจะได้แก่ พรรครวมพลังประชาชาติไทย (หม่อมเต่า+กำนันสุเทพ) พรรคพลังประชารัฐ (ดูดเอาอดีต สส.จากหลายพรรคเข้าร่วม)
พรรคพลังชล ฯลฯ
กลุ่มสาม พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค เคยให้สัมภาษณ์ว่า เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรจะต้องเป็นคนกำหนดว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรี แถมยกตัวอย่างกรณีการเมืองอิตาลีที่มีการเลือกนายกฯ คนนอกก็จริง นั่นก็เพราะเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎรต้องการเช่นนั้น ไม่ใช่ให้เสียงของสว.เข้ามาบงการตัดสินใจตั้งแต่ต้น ไม่เคยพูดว่าถ้าพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ร่วมรัฐบาล
ในผลสำรวจของนิด้าโพลล่าสุด ระหว่างวันที่ 17 - 18 กันยายน 2561 ระบุว่า พรรคการเมืองที่ประชาชนอยากให้ได้คะแนนเสียงมากที่สุด และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ได้แก่
อันดับ 1 ร้อยละ 28.78 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย
อันดับ 2 ร้อยละ 20.62 พรรคพลังประชารัฐ
อันดับ 3 ร้อยละ 19.58 พรรคประชาธิปัตย์
อันดับ 4 ร้อยละ 15.51 พรรคอนาคตใหม่
อันดับ 5 ร้อยละ 4.16 พรรคเสรีรวมไทย
อันดับ 6 ร้อยละ 2.56 พรรคประชาชาติ
อันดับ 7 ร้อยละ 2.40 พรรครวมพลังประชาชาติไทย
อันดับ 8 ร้อยละ 1.44 ระบุว่าเป็น พรรคพลังชาติไทย
อันดับ 9 ร้อยละ 1.12 ระบุว่าเป็น พรรคชาติไทยพัฒนา
อันดับ 10 ร้อยละ 0.96 ระบุว่าเป็น พรรคประชาชนปฏิรูป
อย่างไรก็ตาม โพลล์นี้อาจจะเร็วไป เพราะบางพรรคตัวผู้สมัครที่เข้าร่วมยังไม่นิ่งเลย ตัวหลักๆ ยังไม่ประกาศตัวอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ
3. เห็นด้วยกับ ดร.เสรีว่า “ถ้าคิดจะเลือกประชาธิปัตย์ ควรหาคำตอบให้ชัดเจนว่า เพื่อให้ได้นายกฯคนใน จะรวมกับเพื่อไทยตั้งรัฐบาลหรือไม่ เอากันให้ชัดๆ ก่อนกาบัตรนะ”
หากพรรคประชาธิปัตย์และหรือพรรคเพื่อไทย ประกาศชัดเจน ว่าแนวทางร่วมรัฐบาลกันได้หรือไม่? จะเป็นผลดีกับทั้งสองพรรค เพราะการไม่พูดประเด็นนี้ คงไม่ทำให้คะแนนนิยมของทั้งสองพรรคเพิ่มขึ้นแน่ๆ
4. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. นายกรัฐมนตรี หากยอมให้พรรคการเมืองใดใส่ชื่อในบัญชีที่จะเสนอเป็นนายกฯ ย่อมจะถูกครหาแน่นอนว่า เป็นผู้มีส่วนได้เสียกับการเลือกตั้ง เพราะไปมีชื่ออยู่ในบัญชีพรรคการเมืองที่ลงแข่งขันในการเลือกตั้ง โดยที่ตนเองมีอำนาจเต็ม
แต่ถ้าไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคไหนเลย ก็เท่ากับปล่อยให้การเลือกตั้งดำเนินไปตามรัฐธรรมนูญ หลังการเลือกตั้ง หากรัฐสภาลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีจากในบัญชีของพรรคการเมืองได้สำเร็จ ก็จบ แต่ถ้าเลือกไม่ได้ รัฐบาลบิ๊กตู่ก็ทำหน้าที่ต่อไปเรื่อยๆ เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม และยังมีอำนาจมาตรา 44 อยู่ สุดท้าย ถ้ารัฐสภาไม่สามารถเลือกคนในบัญชีพรรคการเมืองให้ได้คะแนนเสียงพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้จริงๆ รัฐสภาก็ค่อยคิดอ่านหาทางเลือกนายกฯ คนนอก ซึ่งต่อให้มีเสียงของสว.หนุน แต่ก็จะต้องใช้เสียงของ สส.ช่วยปลดล็อกกว่าครึ่งหนึ่ง แม้มีโอกาสไม่ง่าย แต่ก็เป็นไปได้
น่าคิดว่า ผลสำรวจของนิด้าโพล ล่าสุด ประชาชนอยากได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ตามกฎหมายการเลือกตั้งปัจจุบัน ปรากฏว่า
อันดับ 1 ร้อยละ 29.66 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี)
อันดับ 2 ร้อยละ 17.51 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคเพื่อไทย)
อันดับ 3 ร้อยละ 13.83 ระบุว่าเป็น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่)
อันดับ 4 ร้อยละ 10.71 ระบุว่าเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์)
อันดับ 5 ร้อยละ 5.28 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส (หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย) และพล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ (รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย) ในสัดส่วนที่เท่ากัน
อันดับ 7 ร้อยละ 4.64 ระบุว่า นายชวน หลีกภัย (อดีตนายกรัฐมนตรี)
อันดับ 8 ร้อยละ 1.92 ระบุว่า หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล (หัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย)
อันดับ 9 ร้อยละ 1.76 ระบุว่า นายวิษณุ เครืองาม (รองนายกรัฐมนตรี)
อันดับ 10 ร้อยละ 1.52 ระบุว่า นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาชาติ)
อันดับ 11 ร้อยละ 1.44 ระบุว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (รองนายกรัฐมนตรี) และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ (พรรครวมพลังประชาชาติไทย) ในสัดส่วนที่เท่ากัน
ถึงเวลานั้น หากต้องเลือกนายกฯ คนนอก ก็ขึ้นอยู่กับว่า รัฐสภาจะเลือกใคร? ฝ่ายที่ไม่เอา คสช. ก็คงจะวิ่งเต้นเสนอคนอื่นเหมือนกัน หรือไม่?
5. การเลือกตั้ง 2561 ที่จะมาถึงนี้ มีปัจจัยที่อาจทำให้คะแนนเสียงเปลี่ยนไปจากเดิมหลายประการ
ไม่ว่าจะเป็นระบบการนับคะแนน สส.แบบใหม่ การแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ การย้ายพรรค พรรคการเมืองใหม่ ฯลฯ ยังไม่สามารถชี้ชัดว่า คะแนนจะออกมารูปรอยเดิมแค่ไหน
เลือกตั้งปี’54 คะแนนบัญชีพรรคของเพื่อไทยได้ 15.7 ล้านคะแนน ประชาธิปัตย์ได้ 11.4 ล้านเสียง
ซึ่งไม่มีใครได้ถึง 50% ของจำนวนผู้ออกเสียงลงคะแนนทั้งหมด โดยแต่ละพรรคก็จะมีจำนวน สส. รวมทั้งระบบเขตและบัญชี ตามสัดส่วนที่ตนเองได้รับคะแนนตามจริงนั่นเอง
เพื่อไทย จะมี สส.รวมทั้งระบบเขตและบัญชี ราวๆ 160 คน
ประชาธิปัตย์ จะมี สส.รวมทั้งระบบเขตและบัญชี ราวๆ 220 คน ฯลฯ
เพราะฉะนั้น ในการเลือกตั้งครั้งนี้ การหาเสียงในแต่ละเขตเลือกตั้ง ส่งผลไม่ใช่เฉพาะการได้ สส.ในเขตนั้นๆ เพราะคะแนนที่กาบัตรใบเดียวนี่เอง จะถูกนำไปคำนวณหาสัดส่วน สส.ที่พรรคจะได้มีที่นั่งทั้งหมดในสภาอย่างแท้จริง พรรคที่ส่ง
ผู้สมัครลงไม่ครบทุกเขตก็จะเสียเปรียบเป็นธรรมดา ขณะที่ข้อดีคือคะแนนในทุกเขต ไม่ว่าจะชนะในเขตเลือกตั้งนั้นหรือไม่ ก็จะไม่เสียเปล่าหรือทิ้งน้ำ
การย้ายพรรคของ “ผู้อุปถัมภ์ในท้องถิ่น” จึงส่งผลสะเทือนต่อฐานเสียงของพรรคการเมืองเดิมแน่นอน เพราะหมายถึงการหอบเอาคะแนนสัดส่วน สส.ไปให้พรรคใหม่ด้วย (ถ้าชาวบ้านตามไปเลือก)
ขณะเดียวกัน เราได้เห็นบทบาทของรัฐบาล คสช.ในขณะนี้ ที่พยายามเล่นบท “ผู้อุปถัมภ์รายใหญ่” ไม่ว่าจะเป็น “บัตรลุงตู่” ที่เติมเงินให้คนรายได้น้อยกว่า 11 ล้านคนอยู่ทุกเดือน รวมไปถึงการเดินสายมอบเอกสารสิทธิในที่ดินทำกินตามจังหวัดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่นับการมอบโฉนดคืนลูกหนี้นายทุนเงินกู้นอกระบบที่ฝ่ายผู้มีอำนาจรัฐแสดงบทบาทของ “ผู้อุปถัมภ์รายใหม่”
ชัดเจน ฯลฯ
ถ้าทักษิณมั่นใจว่า จะชนะแบบถล่มทลายจริงๆ เขาคงไม่ออกมาแสดงอาการโหยหวน ทำนองว่าไม่ต้องการถูกลืมให้แห้งตายอยู่ต่างแดนดอกกระมัง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี