ได้พูดมาให้ฟังในตอนที่ผ่านมาว่า ในวันเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 นั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ได้ทรงเล่าถึงความรู้สึกของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ไว้ว่าอย่างไรบ้าง ระหว่างที่ทรงพำนักอยู่ที่วังไกลกังวล หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
วันนี้มาว่ากันต่อ
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ทรงเล่าต่อไปว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ตกพระทัยเลย กลับบอกว่า ว่าแล้วไหมล่ะ ที่เป็นเช่นนี้เพราะเราได้ข่าวอยู่เกือบตลอดเวลา เรารู้ว่ามีใครบ้าง ทางตำรวจเขาไปสืบกันมาแล้วก็กราบบังคมทูลหมดว่า ไปปรึกษาหารือกันที่ไหนอ้างสาเหตุเพราะเศรษฐกิจตกต่ำ
อย่างหลวงสินธุ์ ฯ หลวงศุภฯ พระยาพหลฯ ก็เคยประชุมกันในเรือพระที่นั่งจักรี ขณะที่ในหลวงเสด็จประพาสชวาด้วยซ้ำไป ในหลวงก็ทรงทราบความจริง ในหลวงท่านมีสมบูรณาญาสิทธิราชย์พอที่จะทำได้ทุกอย่าง แต่ท่านก็ไม่ทำ
ส่วนที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงดำริพระราชทานนั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีทรงเล่าว่า พระยาศรีวิสารฯ นั่นแหละรู้ดีเพราะเป็นคนติดต่อเอาคนอเมริกัน ดูเหมือนจะชื่อ สตีเวรสันมาเป็นที่ปรึกษา หลวงประดิษฐ์ฯ เองก็รู้ว่าในหลวงทรงมีร่างรัฐธรรมนูญแล้ว จะมีการพระราชทานแน่ แต่ก็คงจะไม่ทันใจกัน
ต่อข้อทูลถามถึงความคิดที่จะต่อต้านกับคณะปฏิวัตินั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีทรงเล่าต่อไปว่า “ในหลวงได้รับสั่งไว้แล้วว่าไม่ให้ยุ่ง ตอนนั้นเจ้านายถูกจับกันมาก ขืนรบกันพวกที่ถูกจับอยู่แล้วก็ต้องตายก่อนนองเลือดกันเปล่าๆ ถ้าจะให้คนอื่นตายแล้วหนีเอาตัวรอด ท่านก็ไม่เอา”
มารู้เอาตอนที่กลับมาแล้วว่า พวกทหารมหาดเล็กทุกคนขังตัวเองหมด มีทหารปืนใหญ่ที่อยู่ในบังคับบัญชาของในหลวง ก็ได้รับสั่งให้ไปประจำที่เขาพระบาท ถึงแม้พระองค์เจ้าบวรเดช ในหลวงก็เคยรับสั่งห้ามว่า ไม่ให้ทำอะไรเป็นอันขาด ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าแล้ว ไม่ให้ทำอะไรทั้งนั้น
ถ้าเผื่อคนอื่นเขาจะปฏิวัติซ้อนชิงอำนาจถวาย นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าเจ้าทำไม่ได้ ในหลวงทรงเตือนเอาไว้ แล้วก็ไม่ได้ทรงทราบอะไรจากพระองค์เจ้าบรวเดชอีก ว่าจะทำอะไรหรืออย่างไร แต่ผลที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้
ในเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่คณะราษฎร์ขอให้พระราชทานแล้ว พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น มีเหตุขัดแย้งกันอยู่เกี่ยวกับการแต่งตั้งสมาชิกประเภทสอง
“ในหลวงรับสั่งว่า ขอให้ท่านเป็นคนตั้งให้เถอะ คือหมายความว่า จะทรงเลือกตัวบุคคลเองเพื่อจะได้เป็นพี่เลี้ยงไปก่อน จนกว่าจะมีผู้แทนที่ทำงานได้จริงๆ แล้วจึงจะปล่อยให้ทำกันไป แต่ทางฝ่ายรัฐบาลก็ไม่ยอม เขาก็ตั้งของเขามา แต่ถึงอย่างไรเมื่อพระยามโนฯ เป็นนายกฯ แล้ว ในหลวงก็ยังรับสั่งว่า พอมีหวังที่จะพยุงกันให้เรียบร้อยไปได้ แต่ตอนที่หลวงประดิษฐ์ฯ เขียนโครงการเศรษฐกิจขึ้นมานั่นน่ะเราก็ต้านไป ในหลวงรับสั่งว่า ชักจะไม่ค่อยดีเสียแล้วรู้สึกว่าจะมีเรื่องยุ่ง จนกระทั่งถึงปี 76 ท่านรับสั่งว่า หมดหวังที่ช่วยให้เรียบร้อยเสียแล้ว”
ก่อนที่พระองค์เจ้าบวรเดชจะปฏิวัตินั้น ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีได้เสด็จแปรพระราชฐานประทับ ณ พระตำหนักไกลกังวลเช่นเคย และเมื่อเกิดเรื่องขึ้น ในหลวงก็ยังคงประทับอยู่ที่วังไกลกังวลด้วย
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีทรงเล่าต่อว่า“วันหนึ่งขณะที่อยู่ที่หัวหิน ท่านวิบูลย์ฯ (หม่อมเจ้าวิบูลย์สวัสดิ์วงศ์) ซึ่งเป็นราชเลขานุการในพระองค์ ได้เขียนมากราบบังคมทูลขอให้เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับที่บางปะอิน ในหลวงรับสั่งว่าไปทำไมกันที่บางปะอิน ไปให้บวรเดชจับหรือ ไม่ไป อยู่นี่แหละ แล้วก็เรียกหลวงศรสุรการให้ไปบอกว่า ไม่ยอมเข้ากับใครทั้งสองข้าง ไม่ว่าข้างไหน จะเป็นกลางอยู่เฉยๆ
หลวงพิบูลสงครามจะส่งรถไฟมาเชิญเสด็จกลับ ก็รับสั่งว่ายังไม่กลับ แต่ก็ทรงตัดสินพระทัยเสด็จพระราชดำเนินสงขลา
“ตอนนั้นเรามีเรือยนต์พระที่นั่งอยู่ขนาดเล็ก ก็ตกลงออกเรือกันตอนกลางคืน มีทหารรักษาวังไปด้วย มีปืนกลไฟพร้อมด้วยข้าราชบริพารจำนวนหนึ่ง ก่อนจะออกเดินทางก็ทรงคิดว่าจะเรียบร้อยหมดทุกอย่าง แต่คลื่นมันเหลือเกิน อาวุธตกน้ำเกือบหมด พอเรือไปได้หน่อยก็เห็นเรือยามฝั่งมา ก็ว่า เอ๊ะ เห็นจะไม่ได้การ ก็เตรียมตัวสู้กันละ เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่พอเรือเข้ามาใกล้ เขาก็ให้สัญญาณว่ามาโดยความหวังดี จะมารับใช้
พอโผล่เข้ามา ในหลวงก็รับสั่งว่าขอบใจมาก กลับไปเถอะ ไม่ต้องมาหรอก ฉันจะไปเอง แล้วก็แล่นเรือกันต่อไป
นอกจากผู้คนที่เอาลงเรือมานั้น ยังเหลืออยู่ที่วังไกลกังวลอีกหลายคน ซึ่งมอบหมายให้ท่านชิ้น (ม.จ.ศุภสวัสดิ์ สวัสดิวัตน์) เป็นหัวหน้าดูแล ก็ให้ตามไปโดยรถไฟ
พวกที่อยู่ในเรือ ตกกลางคืนก็ไม่ได้นอนหรอก นั่งดูกันจนกระทั่งเกือบสว่าง เรือเกือบถึงชุมพรแล้ว เกิดน้ำมันในเรือหมด ก็ตัดสินใจเข้าฝั่ง อาหารก็ไม่มีด้วยเหมือนกัน ก็ส่งคนขึ้นไป 3 คนให้ไปหาพระราชญาติรักษาเป็นเจ้าเมืองชุมพรอยู่ในขณะนั้น ให้ไปขอน้ำมัน”
(อ่านต่อวันศุกร์)
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี