เมื่อตอนที่แล้วได้พูดมาถึงเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พร้อมด้วยข้าราชบริพารจำนวนหนึ่งเสด็จทางเรือยนต์ลำเล็กๆเพื่อประทับที่สงขลา ระหว่างเดินทางประสบกับคลื่นใหญ่และน้ำมันในเรือจะหมด ก็ส่งข้าราชบริพารในเรือ 3 คนขึ้นไปขอน้ำมันจากเจ้าเมืองชุมพร พร้อมทั้งอาหารที่หมดเหมือนกัน
มาว่ากันต่อในตอนสุดท้ายนี้
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีทรงเล่าไว้ว่า เมื่อได้น้ำมันและอาหารมาแล้วก็ออกเดินทางต่อ และเดินทางไปสักครึ่งทางเห็นจะได้ เรืออีสต์เอเชียติกซึ่งเป็นเรือขนสินค้าธรรมดานี่แหละ เราก็เลยหาทางเรียกให้เขาหยุด เพราะเราคงจะไปไม่ถึงสงขลาแน่ ขอให้ทางเรือเขารับพวกเราไปส่งสงขลา ก็เป็นอันตกลงกัน และเดินทางไปจนใกล้สงขลาก็เห็นเรือรบสองลำตามมา กัปตันเขาก็ถามว่าจะให้แล่นเลยไปส่งที่สิงคโปร์ไหม เราก็บอกว่าไม่ต้อง ทางเรือรบเขาก็ให้สัญญาณมาว่า จะมาอารักขาพระองค์ ไม่ได้มาทำอันตรายอะไรหรอก ในหลวงท่านก็บอกว่า ก็ดี แต่จะไปเอง
เมื่อเสด็จฯถึงสงขลาแล้วก็ประทับที่เขาตำหนักน้อยส่วนกลุ่มที่มาทางรถไฟนั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีทรงเล่าว่า “ก่อนที่รถไฟจะแล่นถึงประจวบฯนั้นมีการสั่งการให้ระเบิดสะพานรถไฟเสีย แต่คนที่ได้รับคำสั่งไม่ยอมทำตาม ต่อเมื่อรถไฟแล่นผ่านไปแล้วจึงได้ระเบิด ทุกคนก็รอดมาได้”
สำหรับความรู้สึกส่วนพระองค์นั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ทรงเล่าว่า “ฉันไม่คิดอะไรทั้งนั้น ถ้าจะตายก็ตายด้วยกัน”
ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับที่ตำหนักเขาน้อย สงขลา นั้น สมเด็จฯ ทรงเล่าว่า “ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ก็เล่นเทนนิสกัน”
ระยะเวลาที่ประทับ ณ ตำหนักเขาน้อย สงขลานั้น เป็นเวลาเกือบสองเดือน จึงได้เสด็จพระราชดำเนินกลับพระนคร ทรงเล่าต่อว่า “ก่อนออกเดินทาง ในหลวงท่านส่งพ่อฉันให้ไปอยู่ที่ปีนังเสีย เพราะรู้มาว่าทางรัฐบาลเขาอยากได้ตัวเต็มทีเหมือนกัน ตอนกลับเราก็กลับทางเรือ ก็เรือลำเก่าของอีสต์เอเชียติกนั่นแหละ กลับพระนครคราวนี้ก็มาประทับที่สวนจิตรลดา ระยะนี้รู้สึกว่าเหตุการณ์ไม่ค่อยจะดีนัก และดูเหมือนว่าจะมีอะไรรุนแรงขึ้นทุกทีระหว่างในหลวงกับรัฐบาล รถถังก็วิ่งกันเกลื่อน จะเข้ามาเมื่อไรก็ได้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับ ณ พระตำหนักจิตรลดานี้ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีทรงเล่าถึงเหตุการณ์คืนวันหนึ่งให้ฟังว่า “คืนนั้น ในหลวง ฉัน แล้วก็ ม.ร.ว.สมัครสมาน ขึ้นไปอยู่บนชั้นสามด้วยกัน ท่านทรงรับสั่งว่า ถ้าจะมีเรื่องเกิดขึ้นท่านก็จะยิงพระองค์เอง แล้วให้ สมัครสมาน เป็นคนยิงฉัน ส่วนสมัครสมานจะทำอะไรกับตัวเองหรือไม่ก็ช่าง แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ร้ายแรงจนถึงกับจะทรงทำตามอย่างที่ทรงรับสั่งไว้ และตลอดเวลาที่ประทับอยู่นั้น ก็ใช้เวลาทั้งหมดด้วยการทรงพระอักษรบ้าง อ่านหนังสือบ้าง”
ในที่สุดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงตัดสินพระทัย เสด็จพระราชดำเนินยังประเทศอังกฤษ
“ถ้าจะพูดแล้วในตอนนั้น ทางรัฐบาลเขาก็ไม่อยากให้ไปเหมือนกัน แต่ท่านไม่สบายจริงๆ หมอบอกว่าพระเนตรอีกข้างจะบอดอยู่แล้วให้เสด็จฯทรงรักษาเสียก็เลยตัดสินพระทัยไป”
ในการเสด็จพระราชดำเนินยังประเทศอังกฤษครั้งนั้น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีทรงเล่าว่า มีปัญหาเกี่ยวกับพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เหมือนกัน โดยเท้าความแต่ต้นว่าเมื่อครั้งยังทรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงสุโขทัยธรรมราชานั้น มีเงินที่เป็นส่วนพระองค์ที่ได้รับพระราชทานเป็นประจำอยู่ ซึ่งเป็นเงินทุนส่วนของวังศุโขทัย แต่เมื่อขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินเงินส่วนที่ว่านี้ยังคงมีอยู่ แต่ไม่ค่อยได้เอามาใช้ คงสะสมเอาไว้ คงใช้เงินส่วนที่เป็นพระมหากษัตริย์เท่านั้น
ช่วงเวลาที่ประทับอยู่ที่อังกฤษนั้น ในหลวงทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ด้วยการเสด็จฯเที่ยวตามแต่โอกาสจะอำนวยให้ “ไปไหนไม่ค่อยสะดวกหรอก เพราะเงินทองไม่ค่อยมี” สมเด็จฯ ทรงเล่า
“จอมพลป. เคยมาเฝ้าฯ เขาพูดว่าอยากจะล้างบาป เพราะทำกับท่านไว้มากเหลือเกิน” ทรงเล่าและย้อนไปก่อนที่จะเสด็จฯกลับว่า “หลวงประดิษฐ์มนูธรรม พระยามานวราชเสวีก็เคยไปขอเข้าเฝ้าฯ บอกว่าข้าพระพุทธเจ้าตอนนั้นยังเด็ก คิดอะไรหัวมันรุนแรงเกินไป ไม่นึกว่าจะลำบากยากเย็นถึงเพียงนี้ ถ้ารู้อย่างนี้ก็ไม่ทำ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรเขา เรื่องมันแล้วไปแล้วไม่เคยเก็บเอามาคิด
ต่อข้อทูลถามถึงเรื่องที่ทรงเป็นผู้หนึ่งในขบวนเสรีไทยประจำอังกฤษ สมเด็จฯทรงเล่าว่า “ฉันเป็นแต่เพียงไปลงชื่อกับเขา เป็นกำลังใจให้กับคนที่ทำงาน ฉันเองไปช่วยเขาทางด้านกาชาด ระหว่างที่พวกเสรีไทยฝึกโดดร่ม ฝึกอาวุธกัน ฉันก็ไปช่วยเขาทำของ ตอนนั้นไม่ได้อยู่ในลอนดอนหรอก น่ากลัวมากทีเดียว
ท่านเท้าความย้อนไปอีกเล็กน้อยว่า “ตอนที่ญี่ปุ่นบุกเมืองไทยนั้น ในหลวงเสด็จสวรรคตแล้ว ทางรัฐบาลมีหนังสือไปอัญเชิญเสด็จฯกลับ แต่ฉันไม่เคยนึกว่าจะได้กลับเมืองไทยหรอก จนกระทั่งเสร็จสงครามแล้ว ตอนกลับมาไม่มีบ้านอยู่หรอก เพราะวังศุโขทัยเขาใช้เป็นที่ตั้งกระทรวงสาธารณสุข เลยต้องไปอาศัยวังสระปทุมถึงสองปี จึงได้กลับมาวังศุโขทัย ก่อนจะเข้ามาอยู่ก็ต้องซ่อมเสียยกใหญ่
นี่คือสิ่งที่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ทรงเล่าแก่คณะกรรมการสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทศ ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าเป็นเวลาถึงสามชั่วโมงเศษ
เป็นอีกมุมหนึ่งของเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงในปี 2475
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี