พูดกันมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วกับปัญหาของการศึกษาไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปี 2556 ที่ผ่านมา หลังมีกระแสข่าวว่าประเทศไทยมีคุณภาพการศึกษาอยู่เกือบรั้งท้ายกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ทั้งที่เราเคยมีการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่มาแล้วเมื่อปี 2542 ก็ตาม
ที่ผ่านมานโยบายการศึกษาของไทยผ่านการลองผิดลองถูกมามาก ทั้งรูปแบบตะวันออกและตะวันตก คำถามคือ..แล้วเหตุใดจึงเหมือนกับว่า “ยิ่งแก้ยิ่งเละ” ซึ่งก็มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า อาจเพราะที่ผ่านมา แผนต่างๆ ล้วนถูกกำหนดจากผู้ใหญ่ทั้งสิ้น โดยไม่ค่อยจะได้รับฟังความคิดเห็น หรือให้เด็กและเยาวชนซึ่งเป็นผู้เรียนมีส่วนร่วมเท่าใดนัก
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2557 ที่ผ่านมา สำนักวิจัยมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC Poll) เปิดเผยผลการสำรวจในหัวข้อ “เด็กและเยาวชนไทยอยากเห็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงจากการศึกษาไทย” ณ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)
ทำการสำรวจเยาวชนอายุ 14-18 ปี ระหว่างวันที่ 1-15 เม.ย. 2557 ใน 17 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ จันทบุรี ลพบุรี นครปฐม เพชรบูรณ์ สุโขทัย เชียงใหม่ ยโสธร ชัยภูมิ อุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา สงขลา นครศรีธรรมราช ชุมพร และสุรินทร์ จำนวน 4,255 คน ผลสำรวจทำให้พบความจริงที่น่าเป็นห่วงบางประการ
- เรียนหนักแทบตาย..แต่สุดท้ายต้องกวดวิชา เสียงสะท้อนของเยาวชนกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 54.0 ระบุว่าต้องเรียนในชั้นเรียนปกติวันละ 7-8 คาบ และยังไม่พอ ชีวิตนอกโรงเรียนยังต้องอยู่กับการบ้าน โดยร้อยละ 74.7 ใช้เวลาช่วงกลางคืนทำการบ้าน แต่ขณะเดียวกัน เด็กไทยร้อยละ 65.1 กลับระบุว่าการเรียนพิเศษเป็นสิ่งจำเป็น เพราะมองว่าได้เคล็ดลับที่ต้องใช้สอบมากกว่าที่โรงเรียนสอน , เนื้อหาที่เรียนในชั้นเรียนปกติไม่ออกสอบ หรือผู้สอนกวดวิชา (ติวเตอร์) มีเทคนิคการสอนที่น่าสนใจ ทำให้จำเนื้อหาได้ง่ายกว่าครูในชั้นเรียนปกติ เป็นต้น
ในประเด็นแรกนี้ เยาวชนกลุ่มตัวอย่างได้สะท้อนเรื่องราวเกี่ยวกับครูมากมาย ร้อยละ 25 เน้นไปที่วิธีการสอน ที่ครูในชั้นเรียนมักจะสอนตามหนังสือ จนราวกับว่ามาอ่านหนังสือให้ฟังเสียมากกว่า ทำไมครูจึงไม่หาเทคนิคการสอนที่ทำให้ไม่น่าเบื่ออย่างติวเตอร์กวดวิชาบ้าง? หรือครูบางคนที่สอนในห้องแบบผ่านๆ แต่เก็บเคล็ดสำคัญไปสอนในชั่วโมงกวดวิชาที่ต้องเสียเงินค่าเรียนเพิ่ม เป็นต้น (รองลงมา ร้อยละ 21.2 ตั้งคำถามถึงตัวการบ้าน เช่นการบ้านมากแต่ให้เวลาทำน้อย และอันดับ 3 ร้อยละ 14.7 พูดถึงความประพฤติส่วนบุคคลของครู เช่นเข้าสอนไม่ตรงเวลา ฯลฯ )
- การสอบคือความเป็นความตายของทั้งชีวิต เป็นที่พูดกันมานานแล้วว่าการศึกษาไทยมีมิติของชนชั้นซ่อนอยู่ กล่าวคือ ผู้ที่สามารถสอบเข้าเรียนต่อสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของประเทศ หรือได้ประกอบอาชีพบางสายงาน จะเสมือนหนึ่งถูกยกระดับฐานะทางสังคมให้สูงขึ้นเหนือผู้จบจากสถาบันอื่นๆ หรือผู้ประกอบอาชีพอื่นๆ ไปด้วย
ผลการสำรวจครั้งนี้ ยังคงตอกย้ำความเชื่อดังกล่าว ร้อยละ 65.5 ของเยาวชนกลุ่มตัวอย่าง ระบุว่าความกลัวที่สุดของชีวิตการเรียนคือการสอบไม่ผ่านหรือสอบเข้าเรียนต่อไม่ได้ รองลงมาร้อยละ 59.6 ตั้งเป้าว่าต้องเรียนให้เก่งๆ ทำเกรดให้สูงที่สุด และเมื่อถามว่า “ค่านิยมใดที่อยากให้สังคมไทยเลิกยึดถือเสียที” ร้อยละ 52.7 หรือส่วนใหญ่ตอบว่าการได้เรียนในสถาบันการศึกษาชั้นนำและใบปริญญาคือเป้าหมายของเด็กไทย
รองลงมาร้อยละ 46.5 ตอบว่าการเรียนเก่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต อันดับ 3 ร้อยละ 46.1 ตอบว่าการเรียนนั้นเป็นไปเพื่อยกระดับฐานะ (เงินเดือน/รายได้) มากกว่าการนำความรู้ไปพัฒนาชาติบ้านเมือง อันดับ 4 ร้อยละ 46.0 มองว่าสังคมกำหนดให้เด็กต้องเรียนอะไร เด็กจึงไม่ได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียน อันดับ 5 ร้อยละ 43.2 ตอบว่าไม่มีที่ว่างสำหรับผู้แพ้ การสอบตกหรือเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้คือความล้มเหลวในชีวิต ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า..เด็กไทยต้องอยู่กับการสอบแข่งขันตลอดเวลาจนเกิดความเครียดสะสม เนื่องจากกรอบค่านิยมที่สังคมขีดเส้นไว้ให้ทั้งสิ้น
- ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เยาวชนกลุ่มตัวอย่างกว่าครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ 58.7 ระบุว่าเด็กไทยน่าจะเรียนหนักมากที่สุดในโลก แต่ไม่สามารถนำความรู้ในห้องเรียนไปใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ ร้อยละ 69.4 ระบุว่าระบบการศึกษาไทยต้องเปลี่ยนแปลง และเมื่อถามต่อไปว่าอยากให้แก้ไขอะไรบ้าง ผลสำรวจสามารถจัดอันดับได้เป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้
1.หลักสูตรต้องเหมาะสมกับเด็กไทยไม่ใช่ต่างชาติ
2.เน้นการประยุกต์ในชีวิตประจำวันมากกว่าทฤษฎีในตำราอย่างเดียว
3.แต่ละวิชาควรสอนโดยครูที่จบตรงในสายวิชานั้นๆ
4.ลดชั่วโมงการเรียนที่มากเกินความจำเป็น
5.เทคนิค/กลวิธีการสอนของครู
6.ขยายโอกาสการในศึกษาระดับมหาวิทยาลัยให้ทั่วถึงอย่างเท่าเทียมกัน
7.เพิ่มการฝึกปฏิบัติมากขึ้นจากเดิมที่สอนทฤษฎีตามตำราเป็นหลัก
8.เป้าหมายการเรียนไม่ควรเป็นไปเพื่อสอบอย่างเดียว
9.เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียนจริงๆ และ
10. อื่นๆ เช่น ปลูกฝังค่านิยมและมุมมองต่ออาชีพ , ส่งเสริมการสอนภาษาต่างประเทศให้มากขึ้น , ให้ความสำคัญกับผู้เรียนให้มากขึ้น/ลดการสอบแข่งขันเพื่อเข้าเรียนต่อ ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นเสียงสะท้อนของเด็กและเยาวชนผู้ซึ่งแบกรับภาระจากนโยบายการศึกษา ทั้งที่เป็นทางการคือแผนหรือหลักสูตรของรัฐ และที่ไม่เป็นทางการคือค่านิยมของผู้ปกครองและสังคมที่กดดัน
เข้าทำนอง “คนคิดไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้คิด” จนเป็นปัญหาเพราะผู้กำหนดนโยบาย อาจไม่เข้าใจความเป็นจริง และความต้องการของเด็กไทย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี