อาจไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย สำหรับการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ยึดอำนาจรัฐบาลในนาม “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” (คสช.) เมื่อ 22 พ.ค. 2557 เวลา 16.30 น. เพราะหลายฝ่ายวิเคราะห์มาก่อนแล้วว่ารัฐประหารอาจเป็นบทสรุปของความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้ หลังความพยายามของกองทัพที่จะเป็นคนกลางในการดึงทุกฝ่ายที่ขัดแย้งกันไปเจรจาหาทางออกร่วมกัน ภายใต้อำนาจกฎอัยการศึกที่ประกาศไปเมื่อตีสามเศษ ๆ วันที่ 20 พ.ค. 2557 ต้องล้มเหลว แม้จะให้เวลา 2 วัน คือ 21-22 พ.ค. 2557 ก็ตาม
แล้วก็เป็นไปตามคาด หลังการรัฐประหาร ชาติตะวันตกต่างแสดงปฏิกิริยาประท้วงทันที ไล่ตั้งแต่ สหภาพยุโรป (EU) ร่วมกับ สหประชาชาติ (UN) ออกแถลงการณ์แสดงความเป็นห่วงสถานการณ์ในไทย โดยอ้างว่า หวังว่าไทยจะกลับเข้าสู่บรรยากาศประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด ส่วนที่ออกตัวแรงกว่าใครคือ ฝรั่งเศส ที่ใช้คำว่า “ประณาม” (Condemn) ในแถลงการณ์ของตน ส่วนขาประจำอย่าง สหรัฐอเมริกา ก็ประกาศจะทบทวนความสัมพันธ์ด้านต่างๆ กับประเทศไทย
ทว่าแม้จะมีการรัฐประหาร รวมทั้งการประกาศกฎอัยการศึกก่อนหน้านี้ แต่ภาพที่พบเห็น คนไทยทั่วไปรวมทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ที่น่าสนใจและอาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจยากสำหรับชาติตะวันตก คือการที่คนไทยจำนวนมาก พากันไปถ่ายรูปร่วมกับทหารที่ประจำตามจุดต่างๆ แล้วนำไปอวดกันบนสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ราวกับเป็นงานรื่นเริง โดยไม่มีบรรยากาศของอันตรายแต่อย่างใด
แม้กระทั่งหน้าเพจ facebook ทางการของ คสช. เองก็ตาม เนื่องจากประกาศ คสช. ให้งดรายการปกติของโทรทัศน์ทุกช่อง ชาวเน็ตจำนวนมากจึงเข้าไปโพสต์ข้อความขอเพลงไทย-เพลงสากลร่วมสมัยบ้าง หรือขอให้นำภาพยนตร์มาฉายบ้าง หลังจากต้องฟังเพลงมาร์ชและเพลงปลุกใจวนไปวนมานานๆ จนกลายเป็นเรื่องสนุกสนาน เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้
ปรากฏการณ์ทำนองนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ หากจำได้ เมื่อคืนวันที่ 19 ก.ย.2549 พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ทำรัฐประหารในนาม “คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” (คปค.) ทว่าเช้าวันรุ่งขึ้น กลับกลายเป็นว่ามีผู้คนมากมายออกไปมอบดอกไม้ให้ทหาร บางคนแต่งชุดแฟนซีไปถ่ายรูปกับทหาร ซึ่งมิได้มีบรรยากาศของความรุนแรงเช่นกัน
คำถามคือ..อะไรทำให้มุมมองว่าด้วยกฎอัยการศึก รัฐประหาร และการเมืองไทย ระหว่างคนไทยกับชาวตะวันตกต่างกันเช่นนี้?
มีผู้สรุปนิสัยของคนไทยไว้ประการหนึ่ง คือ “รักความสนุกสนานรื่นเริง ไม่ชอบเรื่องเครียดจริงจัง” ซึ่งสะท้อนผ่านกิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานศพ งานแต่งงาน งานบุญต่างๆ ฯลฯ คนไทยมักสอดแทรกการละเล่น หรือการกินเลี้ยงสังสรรค์เข้าไปในงานเหล่านี้เสมอ และจะทำทุกวิถีทาง เพื่อหลีกเลี่ยงหลบหนีจากสถานการณ์ตึงเครียดต่างๆ ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แน่นอน..หากถามว่าปัจจุบันเรื่องใดทำให้คนไทยเครียดที่สุด คงหนีไม่พ้น “การเมือง” ดังที่ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต สำรวจกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,392 คนทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 8-12 เม.ย.2557 เรื่อง “ความเครียดของคนไทย ณ วันนี้” พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.18 ระบุว่าเครียดเรื่องการเมืองมากที่สุด เพราะเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ และมีข่าวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อทุก ๆ ด้าน ประกอบกับสถานการณ์มีแต่รุนแรง และมีแนวโน้มยืดเยื้อ
แม้กระทั่งหากไปถาม “เด็กและเยาวชน” ก็ยังได้คำตอบเดิมคือ “เบื่อการเมือง” โดยสวนดุสิตโพล สำรวจความเห็นเด็กและเยาวชนจำนวน 1,337 คน ระหว่างวันที่ 6-8 ม.ค. 2557 เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 61.51 ระบุว่าการเมืองไทยน่าเบื่อ วุ่นวาย มีแต่ทะเลาะกัน นอกจากนี้ ร้อยละ 35.74 ระบุว่าอยากเห็นนักการเมืองไทยเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็กและเยาวชน
ไม่เพียงเท่านั้น บุคคลที่มีหน้าที่เป็นต้นแบบของเด็กและเยาวชนอย่าง “ครู-อาจารย์” ก็มีความเห็นไม่ต่างกันนัก สวนดุสิตโพล สำรวจความเห็นครู-อาจารย์ จำนวน 1,004 คนทั่วประเทศ ในหัวข้อ “ครูกับการเมืองไทย” ระหว่างวันที่ 10-15 ม.ค. 2556 พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 44.26 มองว่าการเมืองไทยมีแต่เรื่องน่าเบื่อ หาเรื่องทะเลาะกันทุกวัน ไม่ได้คิดทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติและประชาชน
รองลงมา อันดับ 2 ร้อยละ 35.68 มองว่าแก่งแย่งชิงดี เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เล่นพรรคเล่นพวก ทุจริตคอร์รัปชั่น โกงกิน และอันดับ 3 ร้อยละ 20.06 มองว่านักการเมืองทุกวันนี้ขาดจิตสำนึก คุณธรรมและจริยธรรม ดึงการเมืองให้ตกต่ำ
ล่าสุดกับการสำรวจอีกครั้งในหัวข้อ “การประกาศใช้กฎอัยการศึก” ระหว่างวันที่ 20-21 พ.ค. 2557 โดยใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,264 คนทั่วประเทศ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 75.95 เห็นด้วยกับการใช้กฏอัยการศึก ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง, เพื่อป้องกัน-ยับยั้งเหตุการณ์รุนแรงที่อาจเกิดขึ้น , ประชาชนมีความปลอดภัย , เป็นทางออกหนึ่งในการแก้ปัญหา และทำให้ท่าทีของผู้ชุมนุมเบาลง นอกจากนี้ ร้อยละ 50.93 ยังเชื่อว่าการใช้กฎอัยการศึกจะช่วยให้สถานการณ์คลี่คลาย ลดการปะทะ เพราะทหารสามารถควบคุมดูแลได้ง่ายขึ้น
ขณะที่ นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า มีประชาชนจำนวนมากขอเข้ารับคำปรึกษาด้านสุขภาพจิต ผ่านสายด่วน 1323 เนื่องจากเครียดและวิตกกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยเฉพาะช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.2557 มีผู้โทรศัพท์เข้ามาขอรับคำปรึกษามากที่สุด เพราะอยู่ในช่วงก่อนและหลังเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 ซึ่งมีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นมากมายในเวลานั้น
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่คนไทยรู้สึกเครียดและวิตกกังวลเกี่ยวกับการเมือง ประกอบด้วยการชุมนุมที่ยืดเยื้อ , ความต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง, ญาติหรือคนใกล้ชิดมีอารมณ์รุนแรง รู้สึกโกรธแค้นเมื่อรับฟังข้อมูลข่าวสารทางการเมืองผ่านสื่อต่างๆ, การพูดคุยกับญาติหรือเพื่อนร่วมงานที่มีความเห็นทางการเมืองต่างกัน , กังวลเมื่อญาติหรือผู้ที่ตนสนิทสนมด้วยออกไปร่วมชุมนุมทางการเมืองเพราะกลัวจะได้รับอันตราย , อารมณ์หงุดหงิดของคนในครอบครัวเมื่อรับฟังข่าวสาร มีอารมณ์ร่วมจนมาลงกับคนในครอบครัว สัตว์เลี้ยง หรือเกิดความขัดแย้งในครอบครัว ตลอดจนรายได้ลดลงและเดินทางลำบาก
สะท้อนให้เห็นว่า..คนไทยไม่ว่าวัยไหน อาชีพใด ล้วนเบื่อหน่ายความขัดแย้งทางการเมืองเต็มที ซึ่งคงไม่ต้องอธิบายว่าเป็นเพราะเหตุใด เพราะเชื่อว่าส่วนใหญ่คนรับทราบดีกันอยู่แล้ว ถึงขนาดที่หลายคนสอนลูกสอนหลาน ว่าอย่าเข้าไปยุ่งกับการเมือง เพราะมองว่าการเมืองเป็นเรื่องสกปรก เต็มไปด้วยการทุจริตและผลประโยชน์ทับซ้อน
ขณะเดียวกัน ทหารก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งย่อมเข้าใจอารมณ์ของสังคมไทยดี ที่ต้องการให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบสุข สนุกสนานและมีรอยยิ้มโดยเร็ว จึงพยายามใช้มาตรการต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตปกติของประชาชนให้น้อยที่สุด และอลุ้มอล่วยในบางประการเท่าที่จะทำได้ จนประชาชนไม่รู้สึกว่ารัฐประหารหรือกฏอัยการศึกเป็นเรื่องตึงเครียด เหมือนที่กองทัพประเทศอื่นๆ ปฏิบัติ
ทั้งหมดนี้..มิได้หมายความว่ารัฐประหารหรือกฎอัยการศึกเป็นเรื่องดีหรือวิเศษ แต่ในบางสถานการณ์ วิธีการดังกล่าว อาจเป็นหนทางเดียวที่เหมาะสมที่สุด ในการระงับความขัดแย้งในสังคมการเมืองแบบไทย ๆ ก็เป็นได้
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี