“พลายคล้าว”.....
หรือช้างพลายสมคิด อายุ 50 ปี
ช้างจากวังช้างแลเพนียดช้างอยุธยา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ถูกคนร้ายแอบวางยาพิษ เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 11 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เพื่อหวัง “ตัดงา” ไปทำวัตถุมงคล กลายเป็นอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องสังเวยไปเพื่อความละโมบและความเชื่อผิดๆ ของมนุษย์ นั่นเพราะผู้ซื้ออาจไม่เคยรู้ว่าขณะที่พวกเขานั่งสวดมนต์นับเม็ดประคำทำจากงาช้างเพื่อส่งตัวเองไปสวรรค์
มันมีค่าเท่ากับการถีบช้างตกนรกทั้งเป็นในเวลาเดียวกัน
ที่สำคัญด้วยปริมาณช้างเอเชียที่เหลืออยู่ไม่มากนัก ทำให้ขบวนการค้างาช้างต้องแสวงหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ด้วยการเข้าไปล่าช้างป่าแอฟริกา ซึ่งถูกสังหารเอางาไปมากกว่าปีละ 20,000 ตัว หรือคิดเป็น 1 ตัวในทุกๆ 5 ชั่วโมง และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในตัวการความเศร้าเหล่านี้ เพราะเราเป็น “ตลาดงาเลือด” ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากจีน ซึ่งประเทศไทยต้องเร่งวางมาตรการ จัดการและยุติปัญหาการ “ค้างาช้าง” ผิดกฎหมาย
นั่นเป็นเพราะที่ประชุมอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือ
“ไซเตส” ได้ออกมาเตือนให้ไทยเร่งเข้มงวดการค้างาช้างภายในปี 2557 โดยไทยมีเวลาอีก 1 ปี ในการดำเนินการ ก่อนจะมีการประชุมไซเตสในเดือนสิงหาคม 2558 หากไม่มีการเร่งรัดดำเนินการอาจส่งผลต่อการตัดสินใจ “คว่ำบาตร” ทางการค้ากับประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการค้าขายพันธุ์พืช และสัตว์ต่างๆที่ระบุไว้ในอนุสัญญาการค้าระหว่างประเทศ รวมไปถึงประเภทไม้ประดับ เช่น กล้วยไม้และเครื่องหนังจากสัตว์เลื้อยคลาน
จะว่าไปการที่ไทยตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงเช่นนี้ ถือเป็นเรื่อง “สมควร” เพราะจากข้อมูลของ “เครือข่ายเฝ้าระวังการค้าสัตว์ป่าและพืชป่า” หรือแทรฟฟิก ระบุว่า ประเทศไทยยังมีการค้าขายสินค้าที่ทำจากงาช้างผิดกฎหมาย โดยเพิ่มมากขึ้นถึง 3 เท่า ในรอบ 18 เดือนที่ผ่านมา สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความ “ล้าสมัย” ของกฎหมายไทยที่ยังคงอนุญาตการซื้อขายงาช้างเป็นไปอย่างถูกกฎหมายเฉพาะงาช้างที่มาจากเอเชีย ซึ่งช้างเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญทางด้านความเชื่อและวัฒนธรรมมาช้านาน แต่ไทยกลับถูกเพ่งเล็งว่าเป็นประเทศที่มีปัญหาการลักลอบค้างาช้างผิดกฎหมายมากที่สุด
“สาเหตุหนึ่งเกิดจากการที่กฎหมายไทยอนุญาตให้มีการค้างาช้างบ้านได้ แต่ขาดมาตรการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ โดยจากการสำรวจร้านค้าในย่านสำคัญของกรุงเทพฯ จากเดือนมกราคม-ธันวาคม 2556 พบว่าจำนวนร้านค้าที่ขายผลิตภัณฑ์จากงาช้างเพิ่มขึ้นจาก 61 เป็น 105 แห่ง และปริมาณผลิตภัณฑ์จากงาช้างที่จำหน่ายเพิ่มขึ้นจาก 5,865 ชิ้น เป็น 14,512 ชิ้น แสดงให้เห็นถึงการเจริญเติบโตของตลาดงาช้างในประเทศไทยในปีที่ผ่านมา” ดร.นาโอมิ โด๊ค
ผู้ประสานงานองค์กรแทรฟฟิก กล่าว
ขณะที่รายงานของ “กองทุนคุ้มครองสัตว์ป่าโลก” หรือ WWF ระบุว่า ทั่วทั้งโลกกำลังเพ่งมองมาที่ประเทศไทยในฐานะเป็นตลาดค้างาช้างเถื่อนแหล่งใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งๆที่ไทยก็มีกฎหมาย “ห้าม” ค้างาช้างแอฟริกา แต่ยังมีช่องโหว่รูเบ้อเร่อขนาดเอาช้างทั้งตัวลอดเข้าไปได้ นั่นคือการที่ “ช้างบ้าน”ของไทยเป็นสัตว์พาหนะที่ได้รับการดูแลและจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะโดยกระทรวงมหาดไทย ซึ่งระบุไว้ด้วยว่างาช้างที่ได้มาจาก “ช้างเลี้ยง”สามารถค้าขายได้อย่างถูกกฎหมาย เพียงแต่อนุญาตให้ค้าขายภายในประเทศเท่านั้น
แต่ช้างไทยจัดเป็นช้างเอเชีย ซึ่งเป็นชนิดสัตว์ป่าในบัญชีหมายเลข 1 ตามอนุสัญญาไซเตส การนำเข้าและส่งออกช้าง อวัยวะ ชิ้นส่วนของช้าง รวมทั้งงาช้างและผลิตภัณฑ์ เป็นการกระทำผิดกฎหมาย แม้ว่าจะเป็นงาที่ได้จากช้างบ้านก็ตาม ปัญหาที่ตามมา คือ นักท่องเที่ยวซื้อเครื่องประดับงาช้างจากประเทศไทยอย่างถูกกฎหมายไทย แต่ไปโดนจับในข้อหา
ครอบครองสิ่งผิดกฎหมายในยุโรป
นั่นยังไม่ร้ายแรงเท่าการที่ทั่วโลกถือว่าการค้างาช้างเป็น “สิ่งต้องห้าม” แต่ประเทศไทยลอยหน้าบอกว่าผลิตภัณฑ์งาช้างของฉันมาจากงาช้างบ้าน แถมมีกฎหมายคุ้มครองให้เสร็จสรรพ ก่อให้เกิดผลกระทบ 2 ด้านทันที คือ มีการล่าช้างป่าไทยเพื่อเอางา และลักลอบตัดงาช้างบ้านของไทยขนานใหญ่ อีกทั้งยังลักลอบนำงาช้างป่าแอฟริกา มาสมอ้างว่าเป็นงาช้างบ้านไทย จนทำให้ประเทศไทยฉาวโฉ่ในเรื่องนี้
ด้าน คริส เชพเพิร์ด ผู้อำนวยการแทรฟฟิก ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ได้ร่วมลงนามในอนุสัญญาไซเตส แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการ
เรื่องงาช้าง ซึ่ง “ข้อเสนอแนะ” ของเรา คือ ควรเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายที่กำหนดให้ร้านค้าที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากงาช้าและงาช้างต้องลงทะเบียน, ปรับปรุงกฎหมายปัจจุบันให้สามารถบังคับใช้และปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาไซเตส คือ ยุติการค้างาช้างในประเทศ และเพิ่มช้างแอฟริกาเข้าไปในรายชื่อสัตว์คุ้มครองภายใต้ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ซึ่งจะส่งผลให้การค้างาช้างแอฟริกาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เป็นต้น
คงไม่มีสัตว์ชนิดไหนอีกแล้วที่คนไทยให้ความสำคัญและมีความผูกพันเท่ากับช้าง เราเชิดชูให้ช้างเป็นสัตว์ประจำชาติ
เป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองที่มีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการอนุรักษ์ แต่ขณะเดียวกันประเทศไทยก็เป็นตลาดค้าขายงาช้างที่ขาดการควบคุมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องลุกขึ้นมาเป็นผู้นำในเรื่องของการอนุรักษ์ช้างและลงมือปฏิรูปกฎหมายในการอนุรักษ์ช้างและสัตว์ป่าอย่างจริงจัง ก่อนที่ช้างไทย ช้างแอฟริกา จะ “สูญพันธุ์” หรือเกิดเหตุซ้ำรอยแบบ “พลายคล้าว” ขึ้นอีก!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี