เมื่อพูดถึงความขัดแย้งที่ผ่านมา นอกจากเรื่องของการเมืองแล้ว ยังมีเรื่องของ “ความเหลื่อมล้ำ” ระหว่างภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เมืองกับชนบท หรือภาคอุตสาหกรรมกับภาคเกษตรกรรม เห็นได้จากโครงการใหญ่ๆ ทั้งหลาย นอกจากจะถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส-ความคุ้มค่าแล้ว ยังถูกต่อต้านจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งพื้นที่ทำกิน-อยู่อาศัยต้องถูกแปรสภาพไป หรืออาจมีมลพิษปนเปื้อนมาด้วย
นายแสงชัย รัตนเสรีวงษ์ อนุกรรมการด้านสิทธิชุมชน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวในงานสัมมนา “สิทธิชุมชน ความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อมและธรรมาภิบาล กรณีศึกษาเหมืองทองคำ จ.เลย” ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อกลางเดือน มิ.ย. 2557 ที่ผ่านมา ระบุว่าความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชน เกิดขึ้นเพราะ 2 สาเหตุ คือ 1.แนวทางการพัฒนาของรัฐ ไปขัดกับวิถีชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่ และ 2.ข้อกำหนดของกฎหมายมิได้ถูกนำมาปฏิบัติ
ในความเป็นจริง
“ถ้าจะพูดว่ากรณีอย่างนี้มันเป็นความขัดแย้งจากอะไร? ผมพบอย่างนี้ครับ..เป็นความขัดแย้งระหว่างโครงการที่รัฐอยากจะพัฒนา กับความต้องการของชาวบ้านที่เขาต้องการจะพึ่งพิงอาศัยทรัพยากรธรรมชาติ แล้วก็อยู่กินกันตามวิถีเกษตรกรรมดั้งเดิมของเขา พบว่าถูกรุกรานเข้ามาเรื่อยๆ จนการใช้ชีวิตอย่างเดิมๆ มันเป็นไปไม่ได้ อีกส่วนหนึ่งมันเป็นความขัดแย้งระหว่างข้อเท็จจริงกับข้อกฎหมายที่มีอยู่ด้วย”
คุณแสงชัย กล่าวและเล่าต่อไปว่า ที่ผ่านมาโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลไม่ว่ายุคสมัยใดก็ตาม ชาวบ้านมักร้องเรียนเสมอว่า “ให้ข้อมูลไม่ตรงกับข้อเท็จจริง” เช่น หากพื้นที่ทำโครงการนั้นชาวบ้านท้องถิ่นใช้เป็นที่สาธารณะร่วมกัน การนำพื้นที่ดังกล่าวไปใช้ของรัฐจะถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ถึงขั้นอาจต้องออกเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาจากรัฐสภา ด้วยเหตุนี้จึงใช้วิธีบิดเบือนเอาดื้อๆ ด้วยการระบุว่าไม่มีพื้นที่สาธารณะเสียเลย เพื่อให้โครงการได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ภาครัฐก็ไม่สามารถรับรองได้ว่า โครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนั้นจะไม่สร้างมลพิษในระดับที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งเรื่องใหม่อย่าง “การรับฟังความคิดเห็น” ที่แม้จะปรากฏตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 และ 2550 แต่ในความเป็นจริง ประชาชนในพื้นที่ ได้แต่เพียงรับฟังกรอบคร่าวๆ เท่านั้น ไม่ได้รับทราบรายละเอียดแต่อย่างใด
“ยกตัวอย่าง เช่น ประชุมชาวบ้านแล้วบอกว่าโครงการนี้ดี จ้างงานชาวบ้านได้หลายคน กำนันก็ขอให้ชาวบ้านยกมือว่ารับรองหรือไม่? แล้วก็มีคนยกมือรับรอง ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าโครงการนี้รายละเอียดมันทำอะไรบ้าง ข้อมูลไม่เคยเปิดเผย อย่างนี้
ถ้าจะเรียกว่าเป็นกระบวนการรับฟังความคิดเห็นโดยชอบ ก็แปลกประหลาดอยู่” คุณแสงชัย ระบุ
อีกด้านหนึ่ง หากไปถามเจ้าหน้าที่รัฐในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงมาตรการป้องกันและตรวจสอบ ทุกหน่วยงานมักจะตอบตรงกันเสมอว่า “ขาดแคลนทั้งงบประมาณและบุคลากร” จึงใช้วิธีการตรวจสอบแบบสุ่ม ซึ่งหากวันที่ไปตรวจไม่พบปัญหาก็จะรายงานว่าพื้นที่นั้นๆ ไม่มีมลภาวะเกินมาตรฐาน แน่นอนว่าอาจผิดพลาดได้ เพราะหากวันที่ไปตรวจนั้นไม่พบสารพิษ แต่วันอื่นๆ กลับพบแต่ไม่รู้เพราะไม่ใช่วันที่ไปตรวจ เป็นต้น
ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า ไม่ง่ายเลยที่หากเกิดปัญหาแล้วประชาชนจะฟ้องภาครัฐได้ เพราะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าโครงการนั้นก่อให้เกิดผลกระทบจริง แม้กระทั่งนักวิชาการจะลงพื้นที่ไปศึกษาวิจัยก็ทำได้ยากเพราะต้นทุนสูง เนื่องจากต้องใช้เครื่องมือทดลองทางวิทยาศาสตร์ ยังไม่นับเรื่องของ “อำนาจมืด” ที่พร้อมจะข่มขู่คุกคาม หรือกำจัดใครก็ตามที่มีแนวโน้มเข้าไปเปิดโปงโครงการดังกล่าว เพราะโครงการแบบนี้มักมีผลประโยชน์มหาศาล
อนุกรรมการด้านสิทธิชุมชน กสม. รายนี้ กล่าวต่อไปถึงรากของปัญหา นั่นคือทิศทางของรัฐบาลไทยทุกยุคสมัย ให้ความสำคัญกับ “ตัวเลขทางเศรษฐกิจ” เป็นหลัก ทั้งเม็ดเงินลงทุน , ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) หรือการขยายตัวของอุตสาหกรรม จึงเลือกที่จะผลักภาระทางสังคม ทั้งสิ่งแวดล้อมและสุขภาพไปให้ประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่ค่อยมีปากเสียงนัก
“ถามหน่วยงานราชการทุกแห่ง ถึงปัญหามลพิษและความเดือดร้อนของชาวบ้าน ท่านทราบไหม? ทุกหน่วยงานตอบว่าทราบครับ แต่บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของท่าน เพราะหน้าที่ท่านคือส่งเสริมกิจการเหมืองแร่ กิจการปิโตรเลียม กิจการโรงงาน และส่งเสริมการลงทุน ภารกิจมันถูกวางไปตรงนั้น
แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะถูกตั้งคำถามว่า เพื่อให้การลงทุนเหล่านี้คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ มีแรงจูงใจเพียงพอที่จะให้เอกชนมาลงทุน เหมือนกับที่หน่วยงานรัฐชอบกล่าวอยู่เสมอๆ เป็นสาเหตุหรือเปล่า? จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม กลายเป็นการไปส่งเสริมกระบวนการลดภาระการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในภาคของการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่าต้นทุนสูงมาก เมื่อหน่วยงานของรัฐมองไปในทิศทางอย่างนี้ มองไปในทิศทางสนับสนุนการลงทุน ก็กลายเป็นว่าหาวิธีการที่จะป้องกันและแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องอันเกิดจากการลงทุน
เราจึงไม่เพียงแต่มีโครงการสิทธิพิเศษ เช่นให้หุ้นรัฐ 10 เปอร์เซ็นต์ แล้วได้สัญญาต่างตอบแทนเหนือกว่าสัญญาสัมปทาน ภาระการลงทุนตรงนี้คงไม่เป็นไรครับถ้ามองในแง่ต้องไปแข่งขันกับต่างประเทศ โอกาสของประเทศไทยในการแข่งขันทาง
การค้า แต่ถ้าต้นทุนตรงนี้มันเป็นส่วนหนึ่งของหลักประกันสุขภาพของประชาชนล่ะ? หน่วยงานให้ความสนใจดูแลพอ
หรือยัง? เป็นเงื่อนไขหนึ่งของการให้ใบอนุญาตหรือยัง?” คุณแสงชัย ตั้งคำถาม
จากเหตุทั้งหมดนี้เอง เมื่อคนเล็กคนน้อยทั้งหลาย มองไม่เห็นหนทางเรียกร้องความเป็นธรรม จึงพลอยหมดศรัทธาในหลักกฎหมายไปด้วย ดร.สุนทรียา เหมือนพะวงศ์ เลขานุการแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา ให้ความเห็นว่า ประเทศไทยยังมีข้อจำกัดมากมายในคดีสิ่งแวดล้อม เช่น หลายครั้งประชาชนไม่สามารถฟ้องคดีได้เพราะไม่ใช่ผู้เสียหาย ขณะเดียวกันก็ไม่มีหน่วยงานใดที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการหันไปใช้วิธีการนอกกฎหมาย เช่น การชุมนุมปิดถนน การบุกรุกพื้นที่พิพาท หรือการใช้ความรุนแรงกับกลุ่มทุนผู้ดำเนินการ เป็นต้น
“ในมุมหนึ่งชาวบ้านพอสู้ไม่ไหวเขาก็ต้องเล่นนอกกรอบ คือมันเป็นความท้าทาย จะเป็น Rule of Law หรือ Rule of Jungle จะเป็นนิติธรรมหรือกฎแห่งความป่าเถื่อน คือผู้ที่ก่อความป่าเถื่อนเองอาจจะเป็นผู้เสียหายก็ได้ เมื่อเขาไม่รู้จะไปร้องเรียนกับใคร วันหนึ่งเขาก็เลยบอกว่า..งั้นฉันดูแลตัวฉันเอง คุณมาฉันก็เผา คุณมาฉันก็เสียบเหมือนกัน..ฉะนั้นมันเกิดความรุนแรง มันเป็นไปได้เลยที่เขาจะสู้ เขาก็พร้อมจะยิงหัวบริษัทที่มาเหมือนกัน”
ดร.สุนทรียา แสดงความเป็นห่วง ทั้งนี้ข้อจำกัดอย่างหนึ่งของประชาชนที่จะนำคดีเข้าสู่ศาล คือค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง โดยเฉพาะค่าจ้างทนายความซึ่งมีผลต่อการแพ้ชนะของคดี
นอกจากนี้ยังกล่าวเสริมว่า หลายประเทศในโลกเริ่มหันมาตั้ง “ศาลคดีสิ่งแวดล้อม” เป็นการเฉพาะมากขึ้น ซึ่งมีนักวิชาการ-ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาสิ่งแวดล้อม ด้านผังเมือง หรืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมเป็นองค์คณะตุลาการ ซึ่งจะทำให้การพิจารณาคดีได้มุมมองหลากหลายรอบด้าน
“ครึ่งหนึ่งของโลกตอนนี้อยากมีศาลสิ่งแวดล้อม กระทั่งจีนก็มีแล้ว ตรงนี้ก็อยากให้มีคนพิเศษ หรือคนที่สนใจ ที่มีประสบการณ์จริงๆ หลายประเทศถึงขั้นเปิดให้อาจารย์หัวหน้าภาคเหมืองแร่ หรือด้านผังเมือง หรือต่างๆ นี้ สามารถไปนั่งเป็นผู้พิพากษาในศาลเลย เช่น ในออสเตรเลีย สามารถมาทำงานในเชิงบูรณาการ ฉะนั้นศาลสิ่งแวดล้อม จริงๆ ต้องทำให้เกิดมุมมองหลากหลายที่มีความรู้อย่างแท้จริง ซึ่งนักกฎหมายอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ”เลขานุการแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา ฝากทิ้งท้าย
ดูเหมือนจะเป็นที่เคยชินไปแล้ว กับแนวคิดของทุนนิยม “ต้องการกำไรสูงสุดด้วยการลงทุนต่ำสุด” ไม่ว่าจะเป็นทุนในประเทศหรือทุนข้ามชาติ ดังนั้นกลุ่มทุนจึงมักสมคบกับผู้มีอำนาจรัฐ เอื้อประโยชน์ต่างตอบแทนให้กัน แล้วผลักภาระไปให้ประชาชนทั่วไปที่แทบไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ จากนั้นเมื่อคนเหล่านี้รู้สึกว่าตนถูกเอารัดเอาเปรียบ แต่ไปร้องทุกข์ที่ใดก็ไม่ได้รับความสนใจ จึงใช้วิธีการนอกระบบต่างๆ เช่น การชุมนุมประท้วงเพื่อหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรม ซึ่งหลายครั้งนำไปสู่เหตุจลาจลที่มีความรุนแรง สร้างความเดือดร้อนให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องไปด้วย
ความเหลื่อมล้ำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ต้องเร่งแก้โดยด่วน หากต้องการให้สังคมไทยหลุดจากวงจรความขัดแย้งและความแตกแยกที่เรื้อรังฝังลึกมายาวนาน
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี