คงปฏิเสธไม่ได้ว่า..สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย ไล่ตั้งแต่การชุมนุมประท้วงจนถึงการเข้ามาควบคุมอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตลอดจนมีการประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร แม้คนไทยหรือชาวต่างชาติที่คุ้นเคยกับเมืองไทยดี จะเข้าใจว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเลยก็ตาม
แต่สำหรับชาวต่างชาติ ภาพของผู้ชุมนุมก็ดี ทหารก็ดี คือภาพของความรุนแรง จนทำให้ไม่กล้าเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย กระทั่งพื้นที่ขึ้นชื่อระดับโลกอย่าง “เมืองพัทยา” ก็ได้รับผลกระทบ เพราะแม้นักท่องเที่ยวขาประจำจะไม่ลด แต่นักท่องเที่ยวขาจร หรือคนที่กำลังคิดจะมาเที่ยวในไทยยังรู้สึกลังเลใจ
นายสินธ์ไชย วัฒนศาสตร์สาธร นายกสมาคมนักธุรกิจและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา เปิดเผยกับ “สกู๊ปหน้า 5” ถึงสถานการณ์ธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งเป็นวิกฤติยาวนานนับตั้งแต่เหตุชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2556 ยาวมาจนถึงการเข้าควบคุมอำนาจของ คสช. และแม้ต่อมาจะมีการยกเลิกประกาศการห้ามออกนอกเคหสถานในยามวิกาล (เคอร์ฟิว) ก็ตาม แต่ก็ยังไม่ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากนัก
นายกสมาคมนักธุรกิจและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา อธิบายต่อไปว่า นักท่องเที่ยวโดยทั่วไปอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1.พวกที่เดินทางมาด้วยตนเอง คนกลุ่มนี้ไม่มีปัญหาอะไรกับกฏอัยการศึกและสถานการณ์การเมืองของไทยในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากมีการศึกษาหาข้อมูลของประเทศไทยมาเป็นอย่างดี หรือหลายรายเคยเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยแล้วหลายครั้ง และรู้ว่าไม่ได้มีความรุนแรงมากมายอย่างที่สื่อนำเสนอ
กับ 2.พวกที่มากับบริษัทนำเที่ยว (กรุ๊ปทัวร์) เป็นกลุ่มนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศกฎอัยการศึก เช่น ในช่วงกลางปี ซึ่งถือเป็นเวลาที่นักท่องเที่ยวไม่มากนัก (Low Season) ที่ผ่านมาปีก่อนๆ ยังได้รับอานิสงค์จากทัวร์จีนบ้างเพราะเป็นฤดูปิดภาคเรียนในประเทศจีน แต่ในปีนี้พบว่าจำนวนทัวร์จีนลดลงไปมาก เนื่องจากบรรดาบริษัทประกันภัยของประเทศต้นทาง มักไม่ยอมทำประกันให้กับผู้ที่จะเดินทางเข้าไปยังประเทศที่ทหารมีบทบาทมาก เพราะมองว่าเป็นพื้นที่ที่มีความรุนแรงเกิดขึ้น หรือถึงจะทำประกันให้ก็จะตั้งเงื่อนไขยุ่งยากหลายประการ
“ถ้ายังมีเรื่องของกฎอัยการศึก พวกบริษัทประกันก็จะมีข้อแม้และเงื่อนไข บริษัททัวร์เขาก็จะดูว่าเขากล้ารับความเสี่ยงตรงนั้นไหม? ที่จะพานักท่องเที่ยวมาแล้วเกิดปัญหาขึ้นมาจะรับไหวหรือเปล่า?”
คุณสินธ์ไชย ระบุ อย่างไรก็ตาม หากเป็นไปได้ก็อยากให้ คสช. ยกเลิกกฎอัยการศึกในเขตเมืองพัทยาก่อนเข้าสู่ฤดูหนาวนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการท่องเที่ยว (High Season) ทั้งนี้เชื่อว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมา กลุ่มก้อนการเมืองต่างๆ ในพื้นที่ น่าจะได้รับบทเรียนแล้วว่า เมื่อมีความแตกแยกหรือความไม่สงบย่อมกระทบต่อการทำมาหากิน และที่ผ่านมาฝ่ายปกครองท้องที่ก็ดี ภาคเอกชนก็ดี พยายามทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง
“กลุ่มต่างๆ ซึ่งก็เป็นพี่น้องกันทั้งนั้นในเมืองพัทยา เราเป็นเมืองเล็กไม่ใช่จังหวัด ก็พยายามทำความเข้าใจกัน เพราะทุกคนหากินกับการท่องเที่ยว ถ้าไม่ช่วยกันประคองลูกหลานก็กระทบหมด อย่างช่วงเคอร์ฟิวนี่กระทบกับพนักงาน กระทบลูกหลานเราหมดเลย
อย่าง Walking Street รายได้เด็กๆ มาจากทิปทั้งนั้น ถ้าไม่มีลูกค้าเลยทิปก็ไม่ได้ คือบางทีเงินเดือนไม่สูงแต่เขาได้ตรงนี้ ดังนั้นทุกคนจึงเห็นความเป็นจริงว่า ถ้าเมืองพัทยายังมีเหตุรุนแรงหรือมีม็อบ ตัวเขาเองก็จะกระทบ ดังนั้นก็ต้องสลาย คือคนเราสำคัญคือต้องกินต้องใช้ ถ้าไม่มีกินมีใช้ จะขั้วไหนมันเดินต่อไม่ได้หรอก” คุณสินธ์ไชย กล่าวย้ำ
อีกด้านหนึ่ง น.ส.ธนรัสย์ ศรีหิรัญ มัคคุเทศก์และผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยวรายหนึ่งในเมืองพัทยา มองว่า สถานการณ์ในปัจจุบัน ยังไม่อาจฟันธงได้ว่าที่นักท่องเที่ยวลดลงเพราะกฎอัยการศึกหรือไม่ เพราะยังเป็นช่วงโลว์ซีซันส์ (ระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม) ซึ่งมีนักท่องเที่ยวน้อยอยู่แล้ว อนึ่ง..คุณธนรัสย์ ยอมรับตลอด 2 เดือน ที่มีการใช้กฏอัยการศึกและมีทหารออกมาดูแลความสงบในพื้นที่ รู้สึกมีความปลอดภัยมากขึ้น และนักท่องเที่ยวที่เป็นลูกค้าประจำก็มิได้ลดลงแต่อย่างใดเพราะมีความเข้าใจบริบทสังคมไทยเป็นอย่างดี
ถึงกระนั้น ก็อดเป็นห่วงช่วงไฮซีซันส์ (ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-เมษายน) ที่จะมาถึงเร็วๆ นี้ไม่ได้ เพราะกฎอัยการศึกส่งผลกระทบกับกรุ๊ปทัวร์ เนื่องจากบริษัทประกันภัยในประเทศต้นทางไม่รับทำประกันให้ ทำให้อาจไม่มีนักท่องเที่ยวหน้าใหม่เข้ามาเพิ่ม ดังนั้น คุณธนรัสย์ เสนอแนะว่า ให้บรรดาบริษัทประกันภัยในประเทศไทย ซึ่งทราบดีอยู่แล้วว่าสถานการณ์ในไทยไม่น่าเป็นห่วง เป็นผู้รับทำประกันให้นักท่องเที่ยวจากกรุ๊ปทัวร์แทน ส่วนภาครัฐและบริษัทนำเที่ยว ให้ช่วยกันเดินสายทำความเข้าใจกับประเทศต่างๆ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากต่างชาติให้กลับมา
“ถ้าเขา (บริษัทประกันในต่างประเทศ) อ้างว่าถ้ามีกฎอัยการศึกแล้วฉันจะไม่จ่ายคุณ ก็ให้ประกันบ้านเรารวมตัวกันสิ คุณเอาตัวนี้ไปบอกเขาสิ ถ้าเขาอ้างว่าประกันบ้านเขาไม่จ่าย ใช้ประกันบ้านเราแทนก็ได้ บ้านคุณไม่จ่าย แต่บ้านฉันก็มีประกันของนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว อุบัติเหตุบ้านฉันก็ยังจ่ายอยู่ เอาตรงนี้ไปโปรโมทสิ”
ผู้ประกอบการทัวร์รายนี้ ฝากทิ้งท้าย ซึ่งล่าสุดมีบันทึกความตกลงร่วมกัน (MOU) ระหว่าง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กับบริษัทประกัน 4 แห่ง คือ 1.สยามซิตี้ประกันภัย 2.กรุงไทยประกันภัย 3.เจ้าพระยาประกันภัย และ 4.เมืองไทยประกันภัย ให้เป็นผู้รับทำประกันให้กับชาวต่างชาติที่จะเดินทางมายังประเทศไทย
โดยราคากรมธรรม์จะมีตั้งแต่ 650-12,000 บาท วงเงินคุ้มครองสูงสุด 2 ล้านบาท สำหรับชาวต่างชาติที่พักอยู่ในประเทศไทย ตั้งแต่ 7 วัน–1 ปี และมีบริการช่วยเหลือหากเกิดเหตุฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้พร้อมเปิดจำหน่ายกรมธรรม์ได้ในเดือน ส.ค. 2557 นี้ คาดว่าจะขายได้กว่า 20,000 กรมธรรม์ และมูลค่าการขาย 3 เดือนแรก (ส.ค.-ต.ค. 2557) น่าจะอยู่ที่ 100-150 ล้านบาท
ส่วนจะเรียกความเชื่อมั่นได้แค่ไหน?..คงต้องติดตามกันต่อไป
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี