คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเทศไทยนั้นเข้าสู่การเป็น “ประเทศอุตสาหกรรม” ไปแล้ว ดังข้อมูลโครงสร้างเศรษฐกิจของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปี 2556 ระบุว่าไทยมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในภาคอุตสาหกรรมมากที่สุด อยู่ที่ ร้อยละ 38.1 รองลงมาเป็นภาคบริการ (เช่นภาคการเงิน การศึกษา โรงแรมและภัตตาคาร) ร้อยละ 25.7 อันดับสามเป็นการค้าทั้งปลีกและส่ง ร้อยละ 13.4
ขณะที่ “เกษตรกรรม” อาชีพที่เป็นอัตลักษณ์ของสังคมไทย มีเพียงร้อยละ 8.3 อยู่ในอันดับ 5 เท่านั้น!!!
เมื่อภาคอุตสาหกรรมกลายเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องหามาตรการรับมือผลกระทบข้างเคียงด้วย โดยเฉพาะกับชุมชนที่อยู่รายรอบพื้นที่ ทว่าที่ผ่านมา ดูเหมือนรัฐไทยจะมิได้เข้มงวดเท่าที่ควร ทำให้เกิดปัญหามากมาย เช่น กรณีชุมชนบ้านคลิตี้ล่าง จ.กาญจนบุรี ที่แม้โรงงานซึ่งทิ้งกากแร่ตะกั่วลงลำห้วยจะปิดตัวไปนานแล้ว แต่น้ำในลำห้วยก็ยังมีสารตะกั่วปนเปื้อนจนไม่สามารถนำมาใช้ได้ หรือกรณีการลักลอบนำขยะอันตราย-ขยะติดเชื้อ ไปทิ้งตามบ่อขยะหรือพื้นที่ว่างเปล่าต่างๆ จนเกิดมลพิษทำอันตรายกับประชาชน
กระทั่งนิคมอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดอย่าง “มาบตาพุด” จ.ระยอง ก็ยังมีปัญหามลพิษมากมาย เช่นในปี 2552 ที่เป็นคดีฟ้องร้องกันถึงศาลปกครอง จนมีคำพิพากษาระงับ 76 โครงการอุตสาหกรรมเป็นการชั่วคราวมาแล้ว หรือล่าสุด ตลอดครึ่งปีมานี้ นับแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2557 พบว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานในพื้นที่ถึง 8 แห่ง รวมทั้งเหตุสารเคมีรั่วไหล เกิดกลิ่นเหม็นลอยไปไกลหลายกิโลเมตร
สิ่งเหล่านี้ทำให้ชาวบ้าน “กังวลใจ” ว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับนิคมอุตสาหกรรมได้อย่างปลอดภัยหรือไม่?
น.ส.แนน พนักงานโรงงานด้านปิโตรเคมีแห่งหนึ่ง เล่าถึงนาทีระทึกว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้พนักงานหลายพันคนต้องอพยพหนีตาย เนื่องจากเพลิงได้ลุกลามอย่างหนักภายในเวลาไม่กี่นาที อีกทั้งมีกลิ่นเหม็นโชยคลุ้งขยายวงกว้าง แต่วินาทีนั้นต้องขอขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่ถึงแม้จะต่างคนต่างหนีเอาตัวรอดแต่ก็ยังไม่ทิ้งกัน เพราะตนนั้นโดนวิ่งชนจนล้มลงกับพื้นแต่ทุกคนต่างช่วยเหลือตนและพากันอพยพออกจากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย
น.ส.แนน กล่าวต่อไปว่า เหตุครั้งนี้ได้สร้างความตกใจให้กับชาวระยองเป็นอย่างมาก โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดคงไม่ใช่ทรัพย์สินที่สูญไป แต่เป็นความปลอดภัยของทั้งพนักงานและชาวบ้านที่ต่างพากันตื่นตกใจ เพราะไม่รู้ว่าโรงงานมีมาตรการป้องกันเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้อย่างไร แต่ยังเชื่อมั่นว่าหลังจากนี้แล้ว ทางผู้ประกอบการคงมีมาตรการป้องกันและความปลอดภัยแก่พนักงานมากขึ้น
“อยากให้ผู้เกี่ยวข้องทุกท่านมีการซักซ้อมการดับเพลิง เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวจะได้ทำการดับไฟได้ทันโดยที่เพลิงไม่ทันได้ลุกลามเหมือนครั้งนี้ รวมไปถึงเสียงแจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ อย่างเสียงแจ้งเตือนสึนามิซึ่งทำให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงอพยพได้ทันท่วงที และรับมือได้ทันโดยขณะที่เหตุการณ์ยังไม่ร้ายแรงเท่าไหร่นัก” พนักงานรายนี้ กล่าว
เช่นเดียวกับ นายบี พนักงานรักษาความปลอดภัยโรงงานแห่งเดียวกัน เล่าว่า ตนยังโชคดีที่ช่วงเวลาเกิดเหตุนั้นเข้าเวรอยู่บริเวณรอบนอก โดยต้นเพลิงเกิดขึ้นบริเวณอาคารแปรสภาพคอมไบน์แก๊ส ส่วนกลิ่นเหม็นที่เกิดขึ้นนั้นไม่แน่ใจแน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด อย่างไรก็ตาม หวังว่าหลังจากนี้โรงงานต่างๆ จะหันมาใส่ใจมาตรการด้านความปลอดภัย ทั้งต่อพนักงานและชุมชนโดยรอบมากขึ้น
“อยากให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มงวดในการตรวจสอบอุปกรณ์รวมไปถึงเครื่องมือต่างๆให้พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา และพนักงานควรตรวจเช็คสภาพเครื่องมือก่อนการทำงานทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง ส่วนมาตรการป้องกันอื่นๆ นั้น เพื่อไม่เป็นการประมาทควรวางระบบนิคมให้ปฏิบัติตามกฎที่ทางกระทรวงได้กำหนดไว้ เพราะจะทำให้ลดอัตราเสี่ยงจากการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว” นายบี ให้ความเห็น
ด้าน ลุงแหวง ชาวบ้านที่อยู่อาศัยใกล้กับนิคมฯ มาบตาพุด มองว่า แม้ที่ผ่านมาจะมีแนวปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน แต่ก็พบว่ามีข้อบกพร่องบางประการที่สำคัญมาก คือเรื่องของ “การข่าว” เพราะจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ประชาชนรอบพื้นที่ได้รับการแจ้งเตือนที่ล่าช้า ทำให้กังวลว่าหากเกิดเหตุที่ร้ายแรงกว่านี้อาจสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะต่อชีวิตผู้คนได้
“มีหลายเรื่องที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข เพราะการซ้อมแผน หรือการประชุมเรื่องความปลอดภัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการข่าว การประชาสัมพันธ์ การวางระบบ เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงก็ช่วยไม่ได้เพราะข่าวล่าช้ามากกว่าจะส่งมาถึงชุมชน ส่งผลให้ชาวบ้านรับรู้ข่าวสารและแจ้งต่อไปยังชุมชนใกล้เคียงล่าช้า
การซ้อมแผนที่ผ่านมาไม่ตอบสนองชุมชนอย่างแท้จริง อยากให้ทุกฝ่ายทำให้เป็นจริง บูรณาการให้เป็นจริง ไม่ใช่ทำให้เป็นรูปร่างหน้าตาแต่ไม่เป็นความจริงก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ถึงแม้จะอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุ 10-20 กิโลเมตร แต่ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังชัดเจน จึงอยากวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มงวดกับนิคมอุตสาหกรรมทุกแห่ง ให้ถือว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นบทเรียน” ลุงแหวง ฝากทิ้งท้าย
ปัญหามลพิษที่รั่วไหลจากแหล่งอุตสาหกรรม ไปยังพื้นที่อยู่อาศัยของประชาชนโดยรอบ นอกจากจะเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของผู้คนโดยตรงแล้ว ในทางอ้อมยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศอีกด้วย เพราะประชาชนจะไม่ไว้วางใจให้มีการขยายการลงทุนภาคอุตสาหกรรมอีก ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ไหนก็ตาม ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจะกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจชาติอย่างแน่นอน
เพราะกลัวว่า..ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ดังเช่นหายนะหลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมา
บุษยมาศ ซองรัมย์
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี