เรียกได้ว่าเจอภาวะ “วิกฤติซ้อนวิกฤติ” เข้าให้แล้ว สำหรับเจ้าของสโลแกน “รักคุณเท่าฟ้า” บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) เพราะในขณะที่กำลังหาวิธีแก้ไขวิกฤติ “ขาดทุน” นับหมื่นล้านบาท ก็ดันมาเจอวิกฤติซ้อนจากปัญหา “สมองไหล” เข้าให้อีก ซ้ำร้ายยังเป็นปัญหาสมองไหลที่เกิดขึ้นในสายงานสำคัญนั่นคือ.....
“นักบิน”!?!
ที่จะว่าไปแล้ว “นักบิน” ของการบินไทย ถือเป็นอาชีพในฝันของใครหลายคนอยู่แล้ว เพราะเมื่อเทียบกับอาชีพอื่นถือว่ามีค่าตอบแทน “สูงลิบ” แต่ถ้าเทียบกับสายการบินอื่นต้องบอกว่านักบินจากค่ายการบินไทย มีสิทธิ์ถูก “ช็อป” ได้ง่าย เพราะ “ค่าตัว” ไม่สูงนัก
3-5 ปีก่อนในช่วงที่ธุรกิจการบินเฟื่องฟู ทั้งโลว์คอสต์ บูติกแอร์ไลน์ แอร์คาร์โก เช่าเหมาลำ แห่เปิดบินกันทั่วน่านฟ้า แต่กลับฝึกนักบินไม่ทัน ทำให้การล่าตัวนักบินเกิดขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่มสายการบินตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็น กาตาร์ แอร์ไลน์ส เอทิฮัด หรือเอมิเรตส์ ที่ตั้งโต๊ะฉกนักบินกันอย่างเมามัน โดยเสนอให้ผลตอบแทนที่ยากปฏิเสธ
เทียบเคียง “อัตราเงินเดือน” ของนักบินระดับ “กัปตัน” ของ “เอทิฮัด” กับ “การบินไทย” พบว่า เอทิฮัด ให้เงินเดือนราว 480,000 บาท ถ้ามีใบอนุญาตเป็นครูสอนนักบินจะได้รายได้เพิ่มอีกเดือนละ 40,000 บาท เบ็ดเสร็จถ้าย้ายไปสวมยูนิฟอร์ม เอทิฮัด จะมีรายได้ต่อเดือนทะลุครึ่งล้านที่ราว 520,000 บาท แต่ถ้ายังอยู่กับการบินไทย จะมีรายได้น้อยกว่าที่เดือนละ 280,000 บาท ถ้าเป็น co-pilot หรือ “นักบินที่สอง” จะมีรายได้อยู่ที่ 160,000-180,000 บาท แต่ เอทิฮัด จ่าย 280,000 บาทต่อเดือน
นอกจากนี้ เอทิฮัด ยังมี “สวัสดิการ” มอบให้อีกเพียบ เช่น ค่าเช่าบ้านปีละ 1.6 ล้านบาท ค่าเล่าเรียนลูก(ไม่เกิน 4 คน) อายุ 4-19 ปี ได้ปีละ 300,000 บาท จ่ายตามจริงตามใบเสร็จ และเรียนที่ไหนก็ได้ในโลกนี้
“ค่ารักษาพยาบาล” วงเงินปีละราว 20 ล้านบาท ต่อ 1 ครอบครัว นักบินเกษียณตอนอายุ 65 ปี ในกรณีเจ็บป่วยไม่ได้ทำงาน 3 เดือนสายการบินอื่นจะไม่ได้รับเงินเดือน แต่ เอทิฮัด จะจัดให้ทำงานออฟฟิศ มีรายได้เดือนละประมาณ 150,000 บาท ทำได้นานถึง 5 ปี เป็นต้น
เท่านั้นยังไม่พอ เอทิฮัด ยังสนับสนุนสินเชื่อการซื้อรถในอัตราดอกเบี้ย 0% ไม่ว่าจะเป็นรถสปอร์ตหรู ปอร์เช่ หรือเฟอร์รารี่ เป็นต้น
นี่เป็นการเทียบเคียงค่าตอบแทนระหว่าง “กัปตัน” ของการบินไทย กับ สายการบินโลกอาหรับ ซึ่งต้องบอกว่าการบินไทย “เทียบไม่ติด” จนเป็นเหตุให้นักบิน และกัปตัน ไหลไปซุกอกสายการบินเศรษฐีน้ำมันกันเป็นจำนวนมาก จนทำให้ในช่วงนั้นการบินไทย ต้องลุกออกมาปรับเพิ่มเงินเดือน โบนัส ฯลฯ ให้กับนักบินในระดับหนึ่ง แต่ก็หยุดปัญหาสมองไหลไม่อยู่
ร้ายไปกว่านั้น เวลานี้นักบินการบินไทยกำลังตกอยู่ในอาการสมองไหลอีกครั้ง ท่ามกลางกระแสข่าวที่ว่านักบินบางส่วนสะบัดปีกไปอยู่ใต้ร่มชายคาสายสายการบินโลว์คอสต์ โดยมีปัจจัยเรื่อง “เงิน” เป็นตัวกระตุ้น เพราะถ้าเทียบกันจริงๆเฉพาะการบินไทย กับแค่ “ไทยแอร์เอเชีย” พบว่า โดยภาพรวมรายได้ของนักบินการบินไทยน้อยกว่าสายการบินอื่น ซึ่งแม้ว่าการบินไทยจะมีรายได้จากค่าใบอนุญาตนักบิน หรือค่าไลเซนส์เพิ่มอีกเดือนละ 6 หมื่นบาท แต่รายได้รวมเทียบแล้วก็ถือว่าต่ำกว่าไทยแอร์เอเชีย หรือบางกอกแอร์เวย์ส อยู่ดี
เอาง่ายๆ “กัปตันไทยแอร์เอเชีย” หิ้วกระเป๋าออกจากบ้านก็มีรายได้แล้วไม่ต่ำกว่าวันละ 10,000 บาทต่อวัน โดยนอกจากเงินเดือนแล้วยังมีค่าชั่วโมงบินละ 1,500 บาท เฉลี่ยเดือนละ 80 ชั่วโมง ค่าเดินทางครั้งละ 1,000 บาท ค่าแลนดิ้ง ขึ้น-ลง อีกเที่ยวละ 500 บาท เฉลี่ยเดือนละ 15 ครั้ง ต้องบอกว่า “รับเละ”
“หากเทียบรายได้กับนักบินของสายการบินในฝั่งตะวันออกกลางกับสายการบินระดับชาติอย่างการบินไทยเรียกได้ว่าไม่สามารถเทียบกันได้ เนื่องจากอัตรารายได้ของสายการบินฝั่งตะวันออกกลางสูงกว่าเป็นเท่าตัว แต่เมื่อนำมาเทียบสายการบินใหม่ๆ หรือสายการบินต้นทุนต่ำ ถือว่าค่าจ้างนักบินของการบินไทย เริ่มมีระดับต่ำกว่าสายการบินโลว์คอสต์ถึง 20-30% เสียแล้ว” สนอง มิ่งเจริญ นายกสมาคมนักบินไทย กล่าว
ขณะที่อีก “เงื่อนไข” สำคัญที่ทำให้เกิดปัญหานักบินสมองไหลก็คือ “ความก้าวหน้า” ในอาชีพ โดยการบินไทยต้องมีอายุงาน 8-10 ปี ชั่วโมงบินสะสม 10,000 ชั่วโมง ถึงจะได้โปรโมตเป็นกัปตัน แต่ไทยแอร์เอเชีย ชั่วโมงบิน 5,000 ชั่วโมง ก็ได้รับการเทรนเป็นกัปตันได้แล้ว
“สาเหตุหลักที่นักบินตัดสินใจลาออก มาจากการเลือกเส้นทางชีวิตที่ต้องการขยับจากนักบินผู้ช่วย เป็นนักบิน เพราะการปรับตำแหน่งของการบินไทยเป็นเรื่องที่ยาก และมีมาตรฐาน อย่างน้อยต้องทำงานในตำแหน่งนักบินผู้ช่วยถึง 8 ปีก่อนที่จะปรับขึ้น อีกทั้งต้องรอตำแหน่งว่าง โดยเรียงจากลำดับความอาวุโสด้วย ขณะที่สายการบินอื่นๆ ที่กำลังแข่งขันเปิดเส้นทางบินใหม่ๆนั้น ต้องการนักบินจำนวนมาก และพร้อมขยับนักบินผู้ช่วยขึ้นเป็นนักบินได้ในระยะเวลาอันสั้น โดยใช้เวลา 1-2 ปี” ร.ท.อธิศักดิ์ พัดชื่นใจ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ บมจ.การบินไทย ยอมรับ
ขณะที่ พล.อ.อ.ศิวเกียรติ์ ชเยมะ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.การบินไทย ยืนยันว่า กรณีข่าวนักบินของการบินไทยลาออกถึง 200 คน มาจากแต่ละปีมีนักบิน และนักบินผู้ช่วยลาออกเป็นปกติ เฉลี่ยปีละ 30-40 คน รวมเป็น 200 คน สะสมมาตั้งแต่ปี 2553-ปัจจุบัน โดยการลาออกของนักบิน จะไม่กระทบกับเส้นทางที่ทำการบินแน่นอน
แม้ผู้บริหารการบินไทย จะยืนยันว่าปัญหาสมองไหลไม่ใช่วิกฤติ และเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นตามวัฏจักร แต่เหนือสิ่งอื่นใดต้องยอมรับว่าปัญหาที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า “การบินไทย” กำลังอยู่ในภาวะ “ถดถอย” ทั้งในเรื่องของผลประกอบการ และ “ศรัทธา” ภายในองค์กร ซึ่งผู้บริหารต้องเร่งแก้ปัญหา ก่อนที่การบินไทย จะ “ร่อนถลา” ไม่เป็นท่า ทั้งๆที่…..
“ชั่วโมงบิน” ก็ไม่น้อยไปกว่าใคร!?!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี