ในช่วงที่สังคมตื่นตัวกับการ “ฆ่าข่มขืน” อย่างทารุณต่อ “น้องแก้ม” หนูน้อยวัย 13 ปี บนขบวน “รถไฟตู้นอน” จนทำให้เกิดข้อเรียกร้องเป็นวงกว้างต่อการลงโทษฆาตกรในคดีนี้ว่าสมควรถูก “ประหารชีวิต” ถึงขั้นมีการล่ารายชื่อประชาชนเพื่อกดดันในเรื่องนี้
อย่างไรก็ดีขณะที่มุมหนึ่งประชาชนกำลังรณรงค์ให้โทษประหารชีวิตคงอยู่ในเมืองไทย แต่ในอีกมุมหนึ่งที่ “สวนทาง” หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะ “กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ” กระทรวงยุติธรรม กลับกำลังเดินเครื่อง “ปลด” โทษประหารชีวิตออกจากกระบวนการยุติธรรมของไทย เพื่อให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล หลังถูกกดดันจากนานาประเทศ เพราะขณะนี้ 140 ประเทศ หรือ 3 ใน 4 ของโลกยุติโทษประหารแล้ว เหลือเพียง 58 ประเทศ ที่ยังคงอยู่ และไทยเป็นหนึ่งในนั้น
ที่ผ่านมา “กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ” ได้สำรวจความคิดเห็นประชาชนในหัวข้อ “มุ่งยกเลิกโทษประหาร” ก่อนจะเข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับ “กติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง” ซึ่งมีพันธะหน้าที่สำคัญประการหนึ่งที่ระบุไว้ คือ “ในประเทศที่ยังมิได้ยกเลิกโทษประหารชีวิต การลงโทษประหารอาจกระทำได้เฉพาะคดีอุจฉกรรจ์ที่สุดตามกฎหมาย”.....“บุคคลใดต้องคำพิพากษาประหารชีวิต ย่อมมีสิทธิขออภัยโทษหรือลดหย่อนผ่อนโทษตามคำพิพากษา การนิรโทษกรรม การอภัยโทษ หรือการลดหย่อนผ่อนโทษตามคำพิพากษาประหารชีวิตอาจให้ได้ในทุกกรณี”
“บุคคลอายุต่ำกว่า18ปี กระทำความผิดจะถูกพิพากษาประหารชีวิตมิได้ และดำเนินการประหารชีวิตสตรีขณะมีครรภ์มิได้”.....“รัฐภาคีใดแห่งกติกานี้จะยกข้อนี้ขึ้นอ้างเพื่อประวิง หรือขัดขวางการยกเลิกโทษประหารชีวิตมิได้” สุดท้ายได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า.....
ประเทศไทยยังไม่พร้อมต่อการ “ยกเลิก” โทษประหารชีวิต!!!
รศ.ดร.ศรีสมบัติ โชคประจักษ์ชัด อาจารย์สาขาอาชญาวิทยา บริหารงานยุติธรรมและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะผู้รับผิดชอบการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในเรื่องนี้ ออกมาเผยว่า ประเทศไทยมีการกำหนดโทษประหารชีวิต จำคุก ยึดทรัพย์ และโทษปรับ สำหรับโทษประหารชีวิต มีอยู่ใน 55 ฐานความผิด แบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่ศาลใช้ดุลพินิจว่า จะประหารชีวิตหรือไม่ก็ได้ และอีกกลุ่มคือ ต้องประหารชีวิตสถานเดียว
อย่างไรก็ดี จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 2,374 คน แบ่งเป็นกลุ่มเข้าประชุม 1,073 คน และจากเว็บไซต์ 1,301 คน ปรากฏว่าในกลุ่มผู้เข้าร่วมประชุมร้อยละ 41.4 เห็นควรจะมีโทษประหารอย่างยิ่ง และร้อยละ 7.8 เห็นว่าควรจะยกเลิกโทษประหาร สังเกตได้ว่าเมื่อมีการให้ความรู้กับประชาชน สัดส่วนกลุ่มคนที่เห็นควรจะมีโทษประหารอย่างยิ่งลดลงเกือบร้อยละ 6 ส่วนกลุ่มที่ตอบแบบสอบถามผ่านทางเว็บไซต์โดยไม่มีการให้ความรู้หรือสร้างความเข้าใจประกอบ ร้อยละ 73 เห็นควรจะมีโทษประหารอย่างยิ่ง และมีเพียงร้อยละ 4 ที่เห็นควรจะยกเลิกโทษประหารชีวิต
“ผลสำรวจสรุปได้ว่าประเทศไทยยังไม่พร้อมยกเลิกโทษประหาร เนื่องจากประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายของไทยยังไม่เข้มงวดพอที่จะทำให้ผู้กระทำผิดหวาดกลัว หรือยังรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมในการลงโทษประหารระหว่างคนจนและคนรวย หรือกรณีที่กระบวนการตัดสินผิดพลาด มีการจับแพะ นอกจากนี้ยังมีความไม่มั่นใจในองค์กรด้านกระบวนการยุติธรรมเพียงพอ” รศ.ดร.ศรีสมบัติ กล่าว
ส่วน น.ส.ปิติกาญจน์ สิทธิเดช รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า จากการจัดสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “ฐานความผิดใดควรยกเลิกโทษประหารชีวิต” ที่ประชุมมีความเห็นว่าฐานความผิดอุจฉกรรจ์ควรมีโทษประหารชีวิต และนานาประเทศให้การสนับสนุนในประเด็นการยกเลิกโทษประหารชีวิต ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ดีที่ประเทศไทยควรจะมีการเปลี่ยนแปลงโทษประหารชีวิต ดังนั้นบทลงโทษประหารชีวิตจำนวน 55 ฐานความผิดมีมากเกินไป ควรมีการทบทวนปรับปรุงข้อกฎหมาย
“ที่ประชุมเห็นด้วยว่าฐานความผิดโทษประหารที่มีอยู่ 55 ฐานมากเกินไปควรปรับลด โดยฐานความผิดในคดีอุกฉกรรจ์ยังควรคงโทษประหารชีวิตไว้ ส่วนความผิดคดียาเสพติดควรเปลี่ยนแปลงโทษให้ศาลเป็นผู้มีดุลยพินิจ” น.ส.ปิติกาญจน์ กล่าว
ด้าน ศ.วิทิต มันตาภรณ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะนักวิชาการด้านสิทธิมนุษยชน แสดงความเห็นถึงความพร้อมของไทยต่อการยกเลิกโทษประหารชีวิต ว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้ลงนามในสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนรวม 4 ฉบับ คือ 1.กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง 2.อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ 3.อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี และ 4.อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันบุคคลจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ
“ผมเห็นว่าไทยควรปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้ง 4 ฉบับให้ดีที่สุดอย่างเต็มที่ก็เพียงพอแล้ว แต่ไม่มีความจำเป็นที่ต้องมุ่งยกเลิกโทษประหารชีวิต แม้หลายฝ่ายจะมีความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานยุติธรรมที่อาจผิดพลาดในการประหารชีวิตผิดตัว หรือมีการจับแพะก็ตาม” ศ.วิทิต กล่าว
ขณะที่ น.ส.ปริญญา บุญฤทธิ์ฤทัยกุล ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ที่ทำการรณรงค์ให้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิตมานานหลายปี “มองต่างมุม” ว่า เรื่องของสิทธิในการมีชีวิตเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนในลักษณะอย่างไรก็ตาม ดังนั้น “โทษประหารชีวิต” ถือเป็นการขัดต่อหลักการสิทธิมนุษยชน แต่เราไม่ได้หมายความว่าไม่เอาผิดกับผู้กระทำความผิด ผู้กระทำความผิดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และได้รับโทษตามความเหมาะสม แต่หลายครั้งที่พบว่าผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อของกระบวนการยุติธรรมต้องถูกประหารชีวิต ซึ่งเราต้องแก้ที่รากเหง้าของปัญหา เพื่อให้สังคมอยู่ได้ด้วยความปลอดภัย อยู่กันได้โดยไม่ต้องหวาดกลัว
“โทษประหารชีวิต” ควรจะมีหรือไม่??? เป็นประเด็นโลกแตกที่ถกเถียงกันมานาน บางประเทศก็ยกเลิกไปแล้ว แต่บางประเทศก็ยังคงมีเอาไว้ ซึ่งงานวิจัยมากมายจากนานาประเทศแสดงให้เห็นว่าโทษประหารชีวิตไม่มีความเชื่อมโยงใดๆกับการเพิ่มขึ้น หรือลดลงของอาชญากรรม ดังนั้นการจะยกเลิกโทษประหาร หรือปรับเปลี่ยนเป็นโทษอะไรแทนนั้น จึงยังเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องทำการบ้านกันรอบด้าน เพื่อนำมาซึ่งบทสรุปที่เหมาะสมและถูกทาง
สิริพร พานทองถาวร
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี