เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา..มีประเด็นร้อนเรื่องหนึ่งในโลกออนไลน์ เมื่อมีผู้มาตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ดังอย่าง Pantip.com กล่าวว่า ที่ จ.พิษณุโลก ผู้ประกอบการหอพักแห่งหนึ่ง นำประกาศที่อ้างว่าจัดทำโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ระบุกฎระเบียบให้ทุกหอพักต้องปฏิบัติดังนี้
1.ห้ามชาย-หญิง ที่ยังมิได้แต่งงาน อยู่ร่วมห้องเดียวกัน 2.ห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่หอพัก 3.ซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้เฉพาะในเวลาที่กฎหมายอนุญาต (11.00-14.00 น. และ 17.00-24.00 น.) 4.สูบบุหรี่ได้เฉพาะพื้นที่ที่จัดให้สูบ และ 5.ห้ามออกนอกหอพักหลังเวลา 22.00 น. เว้นแต่มีพ่อแม่ผู้ปกครองมารับ
หลังเผยแพร่ไม่นาน..ก็มีการแชร์ต่อๆ กันไป พร้อมด้วยความคิดเห็นที่ไม่พอใจเป็นจำนวนมาก บางคนถึงกับเปรียบเทียบกับบางประเทศ ที่มีแนวคิดแบบสุดโต่งไปเลยก็มี!!!
ในเวลาต่อมา..พ.อ.นพพร เรือนจันทร์ รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 4 กองทัพภาคที่ 3 ชี้แจงถึงเรื่องนี้ว่า ในพื้นที่ จ.พิษณุโลก มีการเข้าตรวจสอบห้องพักประเภทต่างๆ จริง แต่เป็นการทำร่วมกันหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ, ฝ่ายปกครอง, เทศบาล, อัยการ, กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์..ประเดิมเริ่มต้นที่บริเวณรอบสถานีขนส่ง อ.เมืองพิษณุโลก
พ.อ.นพพร ระบุว่า ที่ผ่านมา ได้รับการร้องเรียนมาว่าอาคารพาณิชย์หลายแห่งมีการเปิดเป็นห้องเช่า ห้องพัก หรือโรงแรม อย่างไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งการต่อเติมอาคารในลักษณะอันตราย ไม่มีกล้องวงจรปิด ไม่มีบันไดหนีไฟ หรืออุปกรณ์ดับเพลิง ซึ่งถือว่าไม่ปลอดภัยต่อผู้พักอาศัย ที่สำคัญ บางแห่งยังปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มาใช้บริการ ในลักษณะมั่วสุม จึงต้องเข้ามาดูแลกวดขันให้ถูกต้อง
เป็นอันกระจ่าง..กระแสตื่นตระหนกนี้ก็ยุติไป!!!
อย่างไรก็ตาม จากเรื่องนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจ 3 ประการ ประการแรก..ข้อกฎหมายเกี่ยวกับห้องพักประเภทต่างๆ หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า “หอพัก” มีกฎหมายเป็นการเฉพาะ คือ พ.ร.บ.หอพัก พ.ศ. 2507 ที่ใน มาตรา 6 ระบุไว้ชัดเจน ให้แยกเป็น “หอพักชาย” และ “หอพักหญิง” นอกจากนี้ ใน มาตรา 30 ยังย้ำด้วยว่า ผู้ดูแลหอพักต้องกวดขันมิให้ผู้ชายเข้าไปในหอพักหญิง และมิให้ผู้หญิงเข้าไปในหอพักชาย
หากปล่อยปละละเลย..มาตรา 30 ระบุไว้ ผู้ดูแลต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ!!!
ที่ต้องบัญญัติกฎหมายไว้เช่นนี้ เพราะในอดีต ผู้ใช้บริการหอพักมักจะเป็น “นักเรียน-นักศึกษา” จึงต้องมีมาตรการออกมาดูแล มิให้ประพฤติตนนอกลู่นอกทาง ไม่ว่าจะเป็นการจับคู่อยู่กันฉันชู้สาวระหว่างชาย-หญิง หรือการมั่วสุมอบายมุข จำพวกเสพเครื่องดื่มมึนเมา ยาเสพติด และการเล่นพนัน
ดังข้อสังเกต..กฎหมายฉบับนี้ ในหลายมาตรา เช่น มาตรา 26 ระบุให้ผู้ดูแลหอพัก ต้องเก็บประวัติผู้เข้าพัก นอกจากชื่อและอายุแล้ว ยังรวมไปถึงสถาบันการศึกษาต้นสังกัด ตลอดจนชื่อผู้ปกครองของผู้เข้าพักด้วย นอกจากนี้ ใน มาตรา 27 ยังย้ำให้ผู้ดูแลหอพัก ต้องให้ความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต้นสังกัดของผู้เข้าพัก ในการดูแลความประพฤติของผู้เข้าพักด้วยเช่นกัน
ชัดเจนว่า..เน้นหนักไปที่การดูแลคนวัยเรียนเป็นพิเศษ!!!
ประการที่สอง..ต้องยอมรับว่าปัจจุบันสภาพสังคมได้เปลี่ยนไป มีการเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยอย่างอิสระมากขึ้น ทั้งเพื่อการทำงานและศึกษาเล่าเรียน พร้อมๆ กับชายหญิงยุคนี้ หากตกลงคบหาดูใจกัน ก็มักนิยมอยู่อาศัยร่วมชายคาเดียวกันโดยไม่ต้องผ่านพิธีแต่งงานกันมากขึ้น ทำให้กลุ่มลูกค้ามีความหลากหลายกว่าในอดีต เราจึงเห็นอาคารที่แบ่งห้องให้เช่าในหลายชื่อเรียกผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ในทุกเมืองที่มีประชากรหนาแน่น
ที่เห็นบ่อยๆ ก็เช่น “อพาร์ตเมนท์”, “แมนชั่น” หรือแม้กระทั่ง “บ้านแบ่งให้เช่า” เป็นต้น!!!
ด้วยความที่ยังไม่มีกฎหมายเฉพาะในการควบคุมห้องพักรูปแบบใหม่ๆ เหล่านี้ ฝ่ายความมั่นคงของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงใช้กฎหมายหลายฉบับประยุกต์เข้าด้วยกันเพื่อการดูแลความสงบเรียบร้อย เช่น พ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ.2547 สำหรับห้องพักที่ระบุว่าให้เช่ารายวัน หรือให้เช่าทั้งรายวันและรายเดือน ทั้งในด้านความปลอดภัยของตัวอาคารและผู้เข้าพัก (มาตรา 13, มาตรา 22, มาตรา 34) และด้านป้องกันการมั่วสุมที่ผิดกฎหมาย (มาตรา 38-39) ที่ให้ผู้จัดการโรงแรมสอดส่องดูแล รวมถึงปฏิเสธมิให้บุคคลต้องสงสัยเข้าใช้บริการได้
ดังนั้นโดยทั่วไปแล้ว โรงแรมหรือห้องพักที่มีลักษณะแบบเดียวกัน มักจะมีแนวปฏิบัติเหมือนกัน คือ “ห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ใช้บริการ” เพื่อตัดปัญหาไว้ก่อน เพราะหากเข้ามาพักแล้วมีการกระทำผิดทางอาญา เช่น มีเพศสัมพันธ์กันซึ่งเข้าข่ายความผิดฐาน “พรากผู้เยาว์” ไม่ว่าผู้เยาว์นั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ผู้จัดการโรงแรมจะมีความผิดด้วย ไล่ตั้งแต่โทษทางปกครองใน มาตรา 56 ต้องระวางโทษปรับทางปกครองตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท
นอกจากนี้ ยังสุ่มเสี่ยงต่อความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา (มาตรา 317-319) อีกด้วย ซึ่งในวรรค 2 ของทั้ง 3 มาตรา ระบุว่า..ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ จำหน่าย หรือรับตัวผู้เยาว์ซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น..เพราะการปล่อยให้เข้าพัก อาจเข้าข่าย “รับตัว” ผู้เยาว์ ตามที่กฎหมายดังกล่าวระบุไว้ และมีโทษตั้งแต่จำคุก 2-15 ปี หรือปรับตั้งแต่ 4,000-30,000 บาท หรือทั้งจำและปรับตามระดับความหนักเบาของความผิด
อนึ่ง..แม้จะเป็นห้องพักที่ไม่เข้าข่ายโรงแรม เพราะไม่มีบริการให้พักเป็นรายวัน (มีเฉพาะรายเดือนหรือรายปี) หากตรวจพบว่ามีความผิดนี้เกิดขึ้น ก็ถือว่าเข้าข่ายต้องรับผิดเช่นเดียวกันกับห้องพักประเภทโรงแรม ดังตัวอย่างที่เห็นกันบ่อยๆ เมื่อถึงเทศกาลล่อแหลม เช่น วันแห่งความรัก (วาเลนไทน์) หรือวันลอยกระทง ของทุกปี ตำรวจก็ดี ฝ่ายปกครองท้องถิ่นก็ดี จะเน้นกวดขันตามโรงแรมหรือห้องพักประเภทต่างๆ มิให้รับผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าพักอยู่เสมอ
ไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือเรื่องแปลกแต่อย่างใด!!!
ประการสุดท้าย..มีข้อสังเกตจากบรรดาผู้ประกอบการห้องเช่า ถึง “ช่องว่างของกฎหมาย” ที่ตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลงของค่านิยมทางสังคม เห็นได้ชัดคือชายหญิงสมัยนี้ ที่ตกลงคบหาเป็นคู่รักกัน (สถานะแฟน) มักต้องการอยู่กินด้วยกันเลยทันทีโดยไม่ต้องเข้าพิธีแต่งงาน (เปลี่ยนสถานะเป็นสามี-ภรรยา) ซึ่งโดยทั่วไป จะยึดถือบรรทัดฐานตามกฎหมายพรากผู้เยาว์ข้างต้น ทำนองว่า “ถ้าอายุ 18 ขึ้นไป ให้ถือเป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละบุคคล”
ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นหนุ่มสาวที่กำลังศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยจำนวนมาก จับคู่อยู่ด้วยกันเป็นปกติ อนึ่ง..ต้องยอมรับว่าในจำนวนนี้ มีไม่น้อยเลยที่ทำงานพร้อมกับเรียนหนังสือไปด้วย แต่กฎหมายที่เกี่ยวข้อง แบ่งไว้แต่เพียง 2 ประเภท คือ “หอพัก” ซึ่งต้องแยกชาย-หญิง กับ “โรงแรม” ที่แม้จะไม่ต้องแยกเพศผู้เข้าพัก แต่การขออนุญาตก่อตั้งและการบริหารจัดการมีขั้นตอนมากมาย อีกทั้งไม่ต้องการประกอบการแบบให้พักเป็นรายวันเพราะดูแลได้ยาก
อีกทั้งยังมี กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกอบกิจการหอพัก พ.ศ.2549 (ข้อ 3) ระบุด้วยว่า..ผู้ที่กำลังศึกษาในระดับต่ำกว่าชั้นปริญญาตรี ต้องเข้าพักในหอพัก เว้นแต่อายุเกิน 25 ปีขึ้นไป หรือสมรสแล้วเท่านั้น!!!
จึงอาจกลายเป็น “พื้นที่สีเทา” เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่นอกแถว เรียกรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบกิจการเหล่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงกับการถูกตรวจค้นและจับกุม เพราะทางหนึ่งแม้ต้องการจดทะเบียนให้ถูกต้องก็ทำไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ แต่อีกทางหนึ่งหากใช้หลักเกณฑ์ตามกฎหมายเดิมที่มี ด้วยการจดทะเบียนเป็นหอพักตาม พ.ร.บ.หอพัก พ.ศ.2507 ก็จะเป็นอย่างที่เกิดขึ้นในการจัดระเบียบใหญ่ เมื่อปี 2550 ที่ผ่านมา
ในครั้งนั้นผู้ประกอบการห้องเช่าจำนวนไม่น้อย พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายอดผู้เข้าพักลดลง บางรายถึงกับขาดทุนต้องปิดกิจการ เพราะผู้พักที่เป็นนิสิต-นักศึกษา จำนวนมาก เลือกที่จะย้ายออกไปยังห้องพักที่เปิดให้อยู่รวมกันระหว่างชาย-หญิงได้ แม้จะไม่ได้มาตรฐานเลยก็ตาม
โดยสรุปแล้ว..ข้อกฎหมายว่าด้วยห้องเช่าแต่ละประเภท บางเรื่องทุกฝ่ายล้วนสนับสนุน เช่น การห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าใช้บริการ รวมถึงห้ามผู้ใช้บริการเข้ามามั่วสุมทำสิ่งผิดกฎหมาย แต่บางเรื่องก็ยังมีข้อถกเถียงถึงความเหมาะสม เพราะสภาพเศรษฐกิจและค่านิยมทางสังคมที่เปลี่ยนไป ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ส่งผลให้รูปแบบห้องพักที่ลูกค้าต้องการเปลี่ยนไปจากในอดีตด้วย
คงต้องฝากรัฐบาล คสช. ที่ได้ชื่อว่า “ทำไว-เห็นผลไว” นำไปพิจารณา!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี