วิกฤติไฟใต้..ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องชินชาของสังคมไทยไปแล้ว เมื่อพูดถึงดินแดนปลายด้ามขวาน ทั้งปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ภาพที่คนนอกพื้นที่นึกออก คงหนีไม่พ้นเสียงปืน เสียงระเบิด และความตายของผู้คนที่ไม่เลือกอาชีพและศาสนา จนกลายเป็น “ดินแดนที่ถูกลืม” ไม่ค่อยมีใครกล้าเดินทางเข้าไป เพราะกลัวว่าจะไม่ได้รอดชีวิตกลับออกมา จากเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น
“เพิ่งจะเบาลงมาจริงๆ ก็ 3-4 ปีนี้เอง ก่อนหน้านี้คือแรงมาก แทบจะระวังตัวกันรายวันเลย ตอนนี้ทั้งทหาร ตำรวจ อส. (อาสาสมัครรักษาดินแดน) เขาก็พยายามดูแลความปลอดภัย ส่วนชาวบ้านเราก็ช่วยเป็นหูเป็นตา เดี๋ยวนี้ถ้ามีใครแปลกๆ เข้ามาในพื้นที่ อาจจะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ไปตรวจก่อน”
ประชาชนรายหนึ่งในเขต อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส กล่าวกับ “สกู๊ปหน้า 5” เมื่อครั้งติดตามคณะของศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ศปป.5 กอ.รมน.) ลงพื้นที่เมื่อ 26-28 ส.ค. 2557 ที่ผ่านมา ถึงสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ที่เพิ่งจะถือว่า “ค่อยยังชั่ว” เมื่อไม่กี่ปีมานี้เท่านั้น ซึ่งตัวชี้วัดที่สำคัญ อยู่ที่บรรดานักท่องเที่ยวจากฝั่งมาเลเซีย กล้าที่จะเดินทางข้ามมาท่องเที่ยวยามค่ำคืนมากขึ้น โดยเฉพาะคืนวันพฤหัสบดีและศุกร์จะมากันมากเป็นพิเศษ
เมื่อถามถึงมาตรการรักษาความปลอดภัย ประชาชนรายนี้ กล่าวว่า ที่ผ่านมาต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วน เรียกได้ว่าหากเป็นบุคคลแปลกหน้า ถือหรือสะพายกระเป๋าด้วยท่าทีผิดสังเกต หรือมียานพาหนะที่ไม่น่าไว้วางใจเข้ามาในพื้นที่ ประชาชนก็จะแจ้งให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปขอตรวจค้น ซึ่งแม้บรรยากาศจะดูตึงเครียดไปบ้าง แต่นักท่องเที่ยวส่วนมากก็เข้าใจ เพราะการป้องกันตั้งแต่ต้น ย่อมดีกว่าการปล่อยให้เกิดเหตุและมีความสูญเสียขึ้น
แต่หากถามว่า..เหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ ที่กินเวลามาแล้วถึง 10 ปีจะสงบลงเมื่อใด? ยังไม่มีคำตอบ!!!
ด้านเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงที่ปฏิบัติงานในพื้นที่มาหลายปีรายหนึ่ง ยอมรับว่า แม้ชุมชนเมือง ไม่ว่าจะเป็นตัวจังหวัดหรืออำเภอ สถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น จำนวนเหตุรุนแรงที่เกิดมีน้อยลง แต่ในพื้นที่ห่างไกลออกไป ยังคงมีบางส่วนเป็น “พื้นที่สีแดง” ในระดับที่ “ไม่รับรองสวัสดิภาพชีวิต” สำหรับคนภายนอก
ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ กลายเป็นที่บ่มเพาะความเชื่อผิดๆ หลายประการ โดยเฉพาะการไม่ส่งเสริม หรือห้ามเด็กและเยาวชนศึกษาวิชาสามัญ เพราะกลัวว่าจะทำให้คนรุ่นใหม่ ละทิ้งอัตลักษณ์รวมทั้งเปลี่ยนศาสนาออกไป แน่นอน..เมื่อคนเหล่านี้เติบโตขึ้นมาอย่างไม่มีความรู้ขั้นสูง ย่อมยากที่จะหนีความยากจน ยกระดับชีวิตตนเองและครอบครัวให้หลุดพ้นจากสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรได้
อำพันธ์ ไทยสนิท
กลายเป็นเพียงเครื่องมือของกลุ่มผู้ไม่หวังดี..เพราะมีทางเลือกในชีวิตไม่มากนัก!!!
สอดคล้องกับคำบอกเล่าของ นายอำพันธ์ ไทยสนิท ที่ปรึกษาสมาคมการค้ามุสลิมจังหวัดนราธิวาส ที่ระบุว่าครั้งหนึ่งในพื้นที่ชายแดนใต้ ความเชื่อดังกล่าวเคยถูกสอนกันแพร่หลาย และแม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป การศึกษาภาคสามัญของไทยเข้าถึงมากขึ้น ผู้คนได้เห็นโลกภายนอกมากขึ้น และมีชาวไทยมุสลิมสำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาบัตรขึ้นไปมาก แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังคงเชื่อแบบฝังหัวเช่นนั้นอยู่
“เชื่อไหมครับ? สมัยผมตอนนั้น ถ้าครูมาบอกให้ลูกไปเรียนหนังสือ ต้องวิ่งเข้าโอ่งนะ หลบเลย ไม่เอา เพราะเขาคิดว่าถ้าไปเรียนหนังสือไทย ก็ต้องกลายเป็นคนพุทธ อย่างผมก็เคยโดนนะ เพื่อนบางคนถามว่าทำไมไปคบกับคนพุทธ สมัยก่อนเขาเชื่อกันแบบนี้ หรือสมัยนี้บางคนก็ยังมีอยู่
ถามว่าคบกับคนพุทธแล้วต้องเป็นพุทธตามเขาหรือ? มันไม่เกี่ยวกัน การคบคน เขาก็ศาสนาเขา เราก็ศาสนาเรา เพียงแต่เราให้เกียรติซึ่งกันและกัน เราคบกับคนต่างศาสนา ก็คือคบในโลกนี้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นศาสนาเขา แต่ว่าเราให้เกียรติซึ่งกันและกัน คำว่าคบเพื่อนมันไม่ใช่เรื่องการกีดกันของศาสนา มันไม่มีขอบเขต ต้องเข้าใจตรงนี้ คือบางคนยังไม่เข้าใจ” คุณอำพันธ์ กล่าว และย้ำว่า การสอนในลักษณะสุดโต่งดังกล่าว เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้น มิใช่หลักการที่ศาสนาบัญญัติไว้แต่อย่างใด
อนึ่ง..ผู้นำกลุ่มนักธุรกิจมุสลิมรายนี้ ให้ความสำคัญกับการศึกษาของเยาวชนเป็นอย่างมาก โดยหวังว่าสักวันหนึ่ง จ.นราธิวาส จะมีมหาวิทยาลัยชั้นนำมาเปิดการเรียนการสอนมากกว่านี้ ดังเช่นยุทธศาสตร์ของประเทศมาเลเซีย ที่มองว่าการศึกษาสามารถพัฒนาให้เป็นธุรกิจได้ เห็นได้จากปัจจุบันมีนักศึกษาจากหลายประเทศ เข้าไปศึกษาต่อในมาเลเซียเป็นจำนวนมาก ซึ่งสิ่งที่ตามมา ย่อมมีการจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้เศรษฐกิจดีขึ้นไปด้วยอีกทางหนึ่ง
“ผมพยายามประสานฝั่งมาเลเซียนะ คือสมัยที่มหาธีร์ยังเป็นผู้นำมาเลเซียอยู่ มหาธีร์มองการศึกษาเป็นธุรกิจ ทำไมมหาธีร์ถึงเปิดโรงเรียนนานาชาติในมาเลเซียเยอะแยะ เพราะเขารู้ว่าคนจากทั่วโลกจะไปเรียนในมาเลเซีย แม้กระทั่งคนจีน คนจีนไปเรียนที่มาเลเซีย พูดภาษามาเลย์ได้ แล้วพอใครไปลงตรงนั้น ก็มีทั้งค่าเทอม ค่าที่พัก ค่ากินค่าอยู่ นั่นแหละการนำเงินเข้าประเทศมาเลเซีย มหาธีร์เขาคิดไกลมาก
อย่างผมก็พยายามบอกชาวบ้านนะ มาลงในมหา’ลัย ในพื้นที่ของเราดีกว่า คือ มนร. อย่างลูกผมก็เรียนวิศวะอยู่ที่นี่ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เดิมทีเขาไปเรียนที่สงขลา แล้วก็มาลงที่นราธิวาส ก็ใช้ได้ ประหยัดดี” ที่ปรึกษาสมาคมการค้ามุสลิมจังหวัดนราธิวาส กล่าวทิ้งท้าย
หากนับตั้งแต่เหตุปล้นปืนเมื่อเดือนมกราคม 2547 ถึงวันนี้ก็ครบ 10 ปีแล้วที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กลายเป็นดินแดนแห่งความรุนแรง ซึ่งที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือประชาชนในพื้นที่ จะพยายามเรียกความเชื่อมั่นจากบุคคลภายนอกให้เข้ามาลงทุนและท่องเที่ยวอย่างไรก็ตาม แต่ก็ไม่ค่อยได้ผลมากนัก
ปัจจัยสำคัญ..ทุกฝ่ายยอมรับว่า ความเชื่อผิดๆ ข้างต้น เป็นเรื่องราวที่มีอยู่จริง เกิดขึ้นจริง และแม้จะค่อยๆ ลดลงไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังดำรงอยู่ในบางชุมชน โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล ซึ่งตราบใดที่ยังยุติการสอนแนวทางแบบนี้ไม่ได้ วงจรชั่วร้าย “ความรู้น้อย-ยากจน-ถูกชักจูง” ก็จะยังคงสร้างแนวร่วม ออกมาก่อความไม่สงบต่อไป เช่นนี้ย่อมยากที่คุณภาพชีวิตของผู้คนในพื้นที่จะดีขึ้น
เพราะไม่มีใครกล้าเข้ามาท่องเที่ยวและลงทุน แม้ว่าจะมีการออกโครงการเชิญชวนมากมายเท่าใดก็ตาม!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี