ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดกรณีความขัดแย้งระหว่างสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี “ช่อง 3” กับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์(กสท.) ซึ่งเป็นคณะกรรมการ(บอร์ด) ที่ดูแลกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) เมื่อ กสท.มีมติ 3 ต่อ 2 “ห้ามผู้ประกอบการโครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียมนำช่อง 3 อนาล็อก ออกอากาศบนโครงข่ายอีกต่อไป”!!!
เนื่องจากขัดต่อมติวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ที่บอร์ด กสท.ตัดสินให้ทีวีอนาล็อกสิ้นสุดการเป็นสถานีโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป หรือ “ฟรีทีวี” โดยไม่ต้องรับภาระในการออกอากาศคู่ขนาน ซึ่งช่อง 7 และ 9 ได้ประมูลและโอนย้ายรายการในระบบอนาล็อกมาออนแอร์ในระบบดิจิตอลด้วย ทำให้ผู้ชมยังรับชมผ่านระบบดาวเทียมและเคเบิลทีวีได้ ขณะที่ ช่อง 5, 11 และไทยพีบีเอส ได้รับสิทธิ์ออกอากาศดิจิตอลภาคพื้นดินด้วยใบอนุญาตประเภทสาธารณะ
ขาดแต่ช่อง 3 ที่ยังไม่โอนย้ายรายการ หรือคอนเทนท์ มาออกอากาศในระบบดิจิตอล โดยอ้างว่าเป็นคนละนิติบุคคล เพราะผู้ชนะการประมูลระบบดิจิตอล คือ บริษัท บีอีซี มัลติมีเดีย ที่เป็นบริษัทลูก นอกจากนี้ ช่อง 3 ก็มีแผนการตลาดอย่างชัดเจน และกำลังพัฒนาให้เป็นช่องรายการคุณภาพสูง เพื่อเตรียมรองรับ “ช่อง 3 ออริจินอล”ในอีก 6 ปีข้างหน้าเมื่อสิ้นสุดสัญญาเดิม จนกลายเป็น “มหากาพย์” ความขัดแย้งในเรื่องนี้
# ทำไมช่อง 3 ไม่เปลี่ยนผ่าน
ว่ากันว่าสาเหตุหนึ่งที่ช่อง 3 ยังไม่นำคอนเทนท์เดิมมาออกอากาศในระบบดิจิตอล เพราะ “ผลประโยชน์” และความเสี่ยงต่อธุรกิจเป็นสำคัญ???
ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าช่อง 3 ครองสัดส่วนโฆษณาที่ 32% มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาทต่อปี กำไรมูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท
ต่อปี ซึ่งมาจากช่อง 3 วางกลยุทธ์ทางการตลาดได้ “โดนใจ” โดยมุ่งเจาะกลุ่มคนเมือง ซึ่งเป็นคนมีกำลังซื้อสูง และเป็นกลุ่มที่แบรนด์สินค้าต้องการสื่อสารเพื่อช่วงชิงกำลังซื้อจากคนกลุ่มนี้
ราคาโฆษณาของช่อง 3 ในช่วง “ไพรม์ไทม์” หรือ “ละคร” มีราคาเท่ากับรถแจ๊ส 1 คัน ที่ 500,000 บาทต่อนาที เป็นผลมาจากกลยุทธ์ละคร “กลยุทธ์ครอบครัว” ของช่อง 3 ที่สร้างแบรนดิ้งของตัวเองให้เป็นที่จดจำได้เป็นอย่างดี สร้างความใกล้ชิดกับผู้ชมด้วยกิจกรรม “ออนกราวน์” ซึ่งสามารถนำฐานผู้ชมเข้าสู่จอโทรทัศน์และส่งผลต่อเรตติ้งที่สูงขึ้นโดยเฉพาะคอนเทนท์ “ละคร” ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของช่อง 3
ข้อสังเกตที่น่าสนใจประการหนึ่ง คือ ผู้จัดละครแต่ละรายของช่อง 3 ไม่เคยรับผลิตให้ช่องอื่น ทั้งที่ไม่ได้ทำสัญญาไว้ แต่เหตุที่ยังอยู่ที่ช่อง 3 เป็นเพราะ “สัญญาใจ” และ “ส่วนแบ่ง”ที่สมน้ำสมเนื้อ นอกจากนี้ช่อง 3 ยังยึดแนวทางเดิม โดยไม่นำคอนเทนท์เดิมมาออกอากาศในระบบดิจิตอล โดยอ้างเรื่องสัญญาสัมปทาน ที่ติดกับช่อง 3 ปัญหานิติบุคคล และภาษีการโอนย้ายคอนเทนท์ต่างนิติบุคคล มูลค่า 8 พันล้านบาท
จากข้อเสนอล่าสุดของช่อง 3 ที่ส่งผ่านไปถึง กสท.ระบุว่า “ช่อง 3 ขอให้การออกอากาศในระบบดิจิตอล เป็นแบบ Real Time Pass Through คือ การนำคอนเทนท์ในระบบอนาล็อกของช่อง 3 ไปออกอากาศในระบบดิจิตอลช่องใดก็ได้ ที่ไม่ใช่ช่องที่ช่อง 3 ประมูลได้
จากข้อเสนอช่อง 3 แสดงท่าทีที่ผ่อนปรน โดยยินยอมโอนย้ายคอนเทนท์บางส่วนที่ไม่ติดปัญหาลิขสิทธิ์มาออกในระบบดิจิตอล ซึ่งถือเป็น “จิ๊กซอว์” สำคัญของการเปลี่ยนผ่าน เพราะจะเป็นการโอนย้ายผู้ชมจากระบบอนาล็อกมาสู่ดิจิตอล นำมาสู่
“สนามแข่งขันที่เท่าเทียม” ที่ทำให้เกิด “ความเสี่ยง” ที่จะเกิดการแย่งชิงฐานผู้ชมจากช่องหลักเดิม
# ส่องเกมเฉือนคม-ยื้อเวลา
จากมติ กสท. เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่มีมติ 3 ต่อ 2“ห้ามผู้ประกอบการโครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียมนำช่อง 3 อนาล็อก ออกอากาศบนโครงข่ายอีกต่อไป” ซึ่งอาจนำไปสู่กรณี “จอดำ”และหากเกิดจอดำขึ้นจริง ผู้ที่จะได้รับชัยชนะคงหนีไม่พ้นช่อง 3เนื่องจากการปล่อยให้จอดำจะส่งผลกระทบในวงกว้าง และหากช่อง 3 ขอให้ศาลปกครองพิจารณาคุ้มครองฉุกเฉิน ศาลก็จะคุ้มครองเพื่อประโยชน์สาธารณะ กว่าที่ศาลจะพิจารณาคดีก็อาจต้องใช้เวลา 2-3 ปี โดยระหว่างนั้นช่อง 3 ก็ยังคงออกอากาศได้อยู่
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบระยะการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบทีวีดิจิตอลของต่างประเทศ จะใช้เวลาราว 5-10 ปี เช่น ในสวีเดน อิตาลี นอร์เวย์ เดนมาร์ก และอังกฤษ โดยในปีแรกช่องอนาล็อกเดิมสูญเสียจำนวนผู้ชมไป ราว 2.6-8.6% เท่านั้น
ขณะที่ข้อมูลของบริษัทวิจัยเรตติ้ง นีลเส็นเดอะคอมปานี พบว่า ปัจจุบันทีวีดิจิตอลในประเทศไทย สามารถแย่งฐานผู้ชมจากทีวีอนาล็อกเดิมได้แล้วถึง 16% ในเวลาเพียง 4 เดือนของการออกอากาศ ซึ่งจากแนวโน้มที่มีการเลือกชมทีวีดิจิตอลสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีการแจกคูปองทีวีดิจิตอล ทำให้สมาคมมีเดียเอเจนซี่แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกลุ่มที่กุมเม็ดเงินโฆษณาบนสื่อโทรทัศน์มากกว่า 7 หมื่นล้านบาทต่อปี คาดว่าทีวีดิจิตอลจะมีผู้ชมมากกว่า 30-40% ของครัวเรือนไทย
นางวรรณี รัตนพล นายกสมาคมมีเดียเอเจนซี่ กล่าวว่า หากเกิดกรณี “จอดำ” ขึ้น เอเจนซี่ในฐานะผู้วางแผนและจัดสรรเม็ดเงินกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี อาจต้องเปลี่ยนไปใช้สื่ออื่นแทนสื่อทีวี ซึ่งขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้บริโภคว่าจะยังรับชมช่อง 3อยู่หรือไม่ หรือรับชมผ่านเสาก้างปลาในระบบอนาล็อก หรือรับชมผ่านออนไลน์แทน ซึ่งเอเจนซี่จะเลือกลงโฆษณาในช่องทางดังกล่าว เพราะสามารถสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้ดี
“ขณะที่ทีวีดิจิตอลใหม่ๆอาจเลือกลงโฆษณาเป็นบางช่องให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย จำนวนผู้ชมและราคาที่เหมาะสม
หากแบรนด์สินค้ายังไม่มั่นใจ ก็อาจหยุดการใช้งบชั่วคราว จนกว่าจะได้ความชัดเจน” นายกสมาคมมีเดียเอเจนซี่ กล่าว
ด้านแหล่งข่าวจาก กสทช. กล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านการให้บริการโทรทัศน์จากระบบอนาล็อกสู่ระบบดิจิตอล อาจจะทำได้ยาก เนื่องจากปัญหาการ “สวิตช์ออฟอนาล็อก” ยังไม่สิ้นสุด จากการหลุดพ้นของระบบสัญญาสัมปทานที่ประเทศไทยมีมาช้านานด้วยการที่ช่อง 3 จะทำให้การออกอากาศเกิดจอดำ เพื่อนำไปสู่การยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอคุ้มครองฉุกเฉิน
ข้อพิพาทเหล่านี้เป็น “บทเรียน” ของ กสทช. และเป็นผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภค จะส่งผลให้ศาลคุ้มครองฉุกเฉิน และส่งผลให้คดีอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณา ซึ่งการพิจารณาอาจจะใช้เวลาราว 3-4 ปี และทำให้ช่อง 3 ออกอากาศได้จนถึงระยะเวลาสิ้นสุดสัญญาสัมปทานก็เป็นได้
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี