ตลอดเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีเหตุสลดที่นำมาซึ่งความสูญเสียของผู้ใช้แรงงานจำนวนมากเกิดขึ้นถึง 3 ครั้ง คือ เหตุอาคารย่านคลองหก จ.ปทุมธานี เกิดถล่มลงมาขณะกำลังก่อสร้าง เมื่อ 11 ส.ค. 2557 มีคนงานเสียชีวิต 14 ศพ กับกรณีหม้อต้มไอน้ำ (บอยเลอร์) ในโรงงานย้อมผ้าแห่งหนึ่ง ย่าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เกิดระเบิดขึ้น เมื่อ 17 ส.ค. 2557 มีคนงานบาดเจ็บ 20 ราย ในจำนวนนี้อาการสาหัสถึง 4 ราย
เพียงเดือนเดียว..แรงงานจำนวนมากต้องรับเคราะห์ภัยจากการทำงานอย่างรุนแรง บ้างบาดเจ็บ และบ้างก็เสียชีวิต!!!
หลังเกิดเหตุทั้ง 2 ครั้ง ดูเหมือนสาเหตุหลักจะชี้ไปที่ “ความประมาท” ของผู้รับผิดชอบสถานที่หรือผู้ดูแลโครงการ เช่น กรณีตึกถล่ม หน่วยงานที่เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ ทั้ง วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) และ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มีความเห็นสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน
นั่นคือ “เร่งก่อสร้างจนละเลยความปลอดภัย”!!!
ขณะที่เหตุหม้อต้มไอน้ำระเบิด คาดว่ามาจาก “สภาพเก่า-ใช้งานมานานเกินไป” เช่น ความเห็นของ นายอมร พิมานมาศ รองเลขาธิการสภาวิศวกรระบุว่า หลังการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าหม้อไอน้ำที่ใช้ในโรงงานที่เกิดเหตุ เป็น หม้อไอน้ำแบบหลอดไฟ (Fired Tube Boiler)
หม้อต้มไอน้ำประเภทนี้ ทำงานโดยใช้แก๊สซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงผ่านเข้าไปในท่อที่ทำด้วยโลหะ ซึ่งเป็นสื่อความร้อนที่ดี เรียกว่า “หลอดไฟ” และถ่ายเทความร้อนให้แก่น้ำซึ่งอยู่ข้างนอกรอบๆ หลอดไฟเหล่านี้ โดยมีเปลือกหม้อไอน้ำห่อหุ้มอยู่อีกชั้นหนึ่ง ทำหน้าที่รักษาความดันในหม้อไอน้ำให้คงที่ มีขนาดกำลังผลิตประมาณ 10 ตัน / ชม. ใช้เชื้อเพลิงแข็ง ไม้ หรือ เศษไม้
แต่คาดว่ามีการดัดแปลงจากเดิมที่ใช้น้ำมันเตา..และมีอายุการใช้งานมามากกว่า 30 ปี!!!
“สาเหตุการระเบิดของหม้อไอน้ำ เกิดจากความบกพร่องในการออกแบบ สร้างติดตั้ง และซ่อมบำรุงรักษาหม้อน้ำ โดยวัตถุที่นำมาใช้ไม่ได้มาตรฐานเท่าที่ควร และอุปกรณ์ต่างๆ มีคุณสมบัติไม่ตรงตามเกณฑ์ของความดันและอุณหภูมิ รวมไปถึงผู้ควบคุมหม้อไอน้ำขาดความรู้เชิงปฏิบัติงานด้านความปลอดภัย
ขาดการวางแผนตรวจสอบและการบำรุงรักษาโครงสร้างส่วนประกอบและอุปกรณ์ความปลอดภัย อีกทั้งน้ำที่ใช้รับหม้อไอน้ำมีคุณสมบัติไม่เหมาะสมและการใช้งานหม้อไอน้ำที่ความดันสูงกว่ากำหนดหรือการติดตั้งลิ้นนิรภัยไม่ถูกต้อง ไม่ได้รับการตรวจสอบความปลอดภัยการใช้งานประจำปีจากวิศวกร” รองเลขาธิการสภาวิศวกร ระบุถึงสาเหตุที่อาจทำให้หม้อต้มไอน้ำเกิดระเบิดได้
เช่นเดียวกับ นายเกชา ธีระโกเมน เลขาธิการสภาวิศวกร ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีหม้อไอน้ำทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 80,000 ตัว แต่มีวิศวกรที่ผ่านการอบรมและขึ้นทะเบียน ที่สามารถรับรองหม้อไอน้ำอยู่เพียงราวๆ 900 คนเท่านั้น ขณะเดียวกันหม้อไอน้ำจำนวนมากมีอายุการใช้งานหลายสิบปี ส่วนใหญ่ยังขาดการบำรุงรักษาที่ได้มาตรฐาน
ประเด็นสำคัญ..ผู้ประกอบการมักอ้างว่า “หม้อต้มไอน้ำมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่สูง” จึงไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควร!!!
“หม้อน้ำเป็นเครื่องจักรที่มีลักษณะเฉพาะและมีอันตรายสูง ถ้าวิศวกรที่มีหน้าที่ตรวจทดสอบไม่ศึกษา
รายละเอียด เทคนิค หรือมีความชำนาญไม่เพียงพอ การตรวจทดสอบทั้งโครงสร้างและอุปกรณ์ต่างๆ ก็จะทำให้มีความเสี่ยงต่อตัววิศวกรเอง รวมไปถึงความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน ของสถานประกอบการนั้นๆ อีกด้วย
ดังนั้น หม้อไอน้ำจะใช้งานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด ขึ้นอยู่กับการควบคุมหม้อไอน้ำให้ทำงานอย่างคงที่สม่ำเสมอ และจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าผู้ควบคุมหม้อไอน้ำผ่านการอบรมหลักสูตรผู้ควบคุมหม้อไอน้ำ
มีการวางแผนและการตรวจสอบส่วนประกอบและอุปกรณ์เป็นระยะขณะใช้งาน และบำรุงรักษาส่วนประกอบ อุปกรณ์ตามกำหนดที่วางไว้ และที่สำคัญ ฝ่ายบริหารควรให้ความสำคัญของรายงาน” เลขาธิการสภาวิศวกร กล่าว
ขณะที่ คุณอมร กล่าวถึงอีกประเด็นที่สำคัญ คือ “สถานที่ติดตั้ง”เพราะแม้จะไม่ใช่การป้องกันหม้อต้มไอน้ำระเบิดโดยตรง แต่หากติดตั้งในสถานที่เหมาะสม เช่น แยกออกมาภายนอกตัวอาคารโรงงาน หากเกิดระเบิดขึ้นมาจริงๆ ย่อมสามารถลดความสูญเสียได้มาก
“การติดตั้งแม้มิใช่เป็นการป้องกันอันตรายหม้อไอน้ำระเบิด แต่การเลือกบริเวณที่ติดตั้งหม้อไอน้ำที่ถูกต้องจะช่วยลดความรุนแรงหรืออันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินลงได้ ฉะนั้นการติดตั้งหม้อไอน้ำควรแยกออกจากตัวโรงงานที่ใช้ผลิตสิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นพิเศษคือ ด้านหน้าและหลังหม้อไอน้ำจะมีความเสี่ยงสูง จึงไม่ควรหันเข้าสู่บริเวณที่มีคนปฏิบัติงาน” คุณอมร ฝากทิ้งท้าย
กี่ครั้งแล้ว..ที่ผู้ใช้แรงงานต้องบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน และเมื่อย้อนดูสถิติในอดีต พบว่าสาเหตุมักจะมาจากความประมาทแทบทั้งสิ้น หลายครั้งเป็นความไม่ระมัดระวังของผู้ใช้แรงงานเอง แต่อีกหลายครั้ง
ก็เกิดเพราะการละเลยมาตรฐานความปลอดภัย เพราะผู้ประกอบการต้องการลดต้นทุนการผลิต จึงผลักภาระความเสี่ยงมาที่ผู้ใช้แรงงาน
และเชื่อได้ว่า..นี่คงจะไม่ใช่ “ครั้งสุดท้าย” ขึ้นอยู่กับว่า ครั้งหน้าจะเกิดที่ไหนเท่านั้น ตราบเท่าที่ “แรงงาน” ยังถูกมองว่าเป็นเพียง “ต้นทุน” หรือเครื่องมือการผลิต มากกว่า “เพื่อนมนุษย์” ที่มีชีวิตจิตใจ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี