สถานการณ์ “น้ำท่วม” ในหลายพื้นที่อาจทำให้ใครหลายๆคนโดยเฉพาะคนกรุงหวาดผวาเกรงว่าจะ “จมบาดาล” เช่นปี 2554 ทั้งๆที่ในความเป็นจริงปีนี้มีปัญหาที่น่าห่วงมากกว่าน้ำท่วม คือ “วิกฤติภัยแล้ง” เพราะเขื่อนใหญ่เหลือปริมาณน้ำสำรองรวมกันไม่มากนัก
ล่าสุดกรมชลประทาน ระบุว่า ปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ในขณะนี้อยู่ในเกณฑ์ไม่มากราว 45-52% ของความจุ ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่า ปีนี้ฝนจะหมดเร็ว ประมาณช่วงกลางเดือนตุลาคม จากปกติจะมีฝนถึงสิ้นเดือนตุลาคม ถือเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นถึงสภาวะวิกฤติภัยแล้งกำลังย่างกรายเข้ามา
อย่างไรก็ดี หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเตรียมการรับมือกับ “ภัยแล้ง” ที่กำลังจะมาเยือน หนึ่งในนั้นคือ “กรมฝนหลวงและการบินเกษตร” ที่ปัจจุบันนอกจากจะมีศักยภาพในการ “ผลิตฝน” เติมน้ำในเขื่อนแล้ว กรมฝนหลวงฯ ยังทำอะไรได้มากกว่านั้น.....
# “ฝนหลวง” ต้านภัยแล้ง
“แม้ช่วงที่ผ่านมาฝนจะตกลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่ภารกิจของกรมฝนหลวงฯไม่ได้น้อยลงเลย เพราะมีภารกิจของการเติมน้ำในเขื่อน เพื่อเตรียมรับมือภาวะภัยแล้งที่กำลังจะมาถึง” สุรสีห์ กิตติมณฑล รองอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวถึงภารกิจของกรมฝนหลวงฯ ในห้วงที่ผ่านมา
“สุรสีห์” กล่าวต่อว่า ปีนี้ร่องมรสุมพาฝนมา “ล่าช้า” กว่าปกติมาก จากทั่วไปจะมาช่วงกลางเดือน ก.ค. แต่ปีนี้มาช่วงปลายเดือนสิงหาคม ซึ่งช่วงเดือนมิถุนายน หรือเดือนกรกฎาคม กลุ่มเกษตรกรก็เริ่มหว่านพืช รอฝนกันแล้ว ซึ่งเกษตรกรนอกพื้นที่ชลประทานจะมีปัญหา เพราะมีฝนมาไม่มาก และไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ได้ ก็เกิดภาวะ “ฝนทิ้งช่วง” ตรงนี้กรมฝนหลวงฯก็ต้องขึ้นบินทำฝนหลวงเข้าไปเสริม
ที่ผ่านมา กรมฝนหลวงฯ ได้วางแผนรองรับสถานการณ์ “ภัยแล้ง” ไว้แล้ว โดยเน้นเป้าหมายในการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำต่างๆ เพื่อให้มีน้ำเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค และเพียงพอต่อการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งในเขตชลประทาน ส่วนพื้นที่นอกเขตชลประทานได้มีการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง ซึ่งพร้อมจะออกปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือพื้นที่ที่ประสบภัยแล้ง เพื่อช่วยให้เกษตรกรได้มีโอกาสทำการเพาะปลูกได้ โดยปฏิบัติการฝนหลวงจะเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา แล้ว
“ปีนี้โซนกลางๆของประเทศค่อนข้างแล้งมาก เพราะปริมาณฝนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเกือบ 20% ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เสี่ยงภัยแล้ง เช่น บุรีรัมย์ ชัยภูมิ และนครราชสีมา เป็นต้น เพราะค่าเฉลี่ยฝนต่ำ รวมถึงภาคตะวันออก ที่อาจจะแล้งและส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมมีน้ำใช้ไม่เพียงพอ ซึ่งจากการทำงานที่ผ่านมา ยังเชื่อว่าปัญหาภัยแล้งปีนี้จะลดลงจากที่คาดการณ์ไว้” สุรสีห์ กล่าว
# ลุยภารกิจ “ทำลายลูกเห็บ-จูงเมฆ”
เมื่อผลิตฝนได้ กรมฝนหลวงฯก็ “หยุดฝน” หรือทำให้ฝนไปตกในจุดที่จำเป็นกว่าได้อีกด้วย ซึ่งเทคนิคดังกล่าวเรียกว่าการ “จูงเมฆ”!!!
“สุรสีห์” อธิบายคร่าวๆว่า กรมฝนหลวงฯ “หยุด-เบรก” ฝนให้ไปตกในที่ที่จำเป็นกว่าได้ ซึ่งเป็นเทคนิคของ “ในหลวง” ที่เรียกว่าวิธีการ “จูงเมฆ” คือ ถ้าเราเห็นกลุ่มเมฆที่กำลังจะตกลงมาเป็นฝนอยู่ในจุดที่เราวิเคราะห์แล้วว่าไม่จำเป็น และเสี่ยงที่จะทำให้เกิดน้ำท่วม เราก็จะเข้าไปจูงเมฆ ด้วยการโปรยสาร “สูตรร้อน” เพื่อทำให้เมฆขยายตัว และลอยขึ้น ซึ่งขณะที่มันกำลังลอยขึ้นก็จะถูกลมพัด และเมื่อมันถูกพัดลอยขึ้นไปในระดับหนึ่ง เราก็นำสาร “สูตรเย็น” ไปโปรย เพื่อทำให้มันเย็นแล้วก็ดึงเมฆมันลงมา หรือดึงไปในจุดที่เราต้องการให้มีฝนตก หรือสลายเมฆฝนก้อนนั้นทิ้งไปเลย
“จูงเมฆเป็นเทคนิคของในหลวง ซึ่งปีหน้าเราน่าจะทดลองดำเนินการ เพื่อเตรียมพร้อมหากปีไหนดูแล้วเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม หรือเกิดภัยแล้งมากๆจะได้นำเทคนิคการจูงเมฆเข้ามาช่วยได้ทัน” สุรสีห์ กล่าว
นอกจากนั้นกรมฝนหลวงฯ ยังเตรียมขยาย “โครงการปฏิบัติการยับยั้งพายุลูกเห็บ” ที่ทำร่วมกับกองทัพอากาศด้วย ซึ่ง “สุรสีห์” กล่าวว่า ช่วงปลายเดือนมีนาคม เข้าเดือนเมษายน เป็นช่วงหน้าร้อนจะเข้าหน้าฝน มักจะเกิดพายุฤดูแล้งเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้มี “ลูกเห็บ” ตามมา พราะเมฆจะเป็นฝนดันไม่กลายเป็นฝน เนื่องจากลมแรง พัดยกเมฆขึ้นไปด้วยความเร็ว หยดน้ำที่จะเป็นฝนจึงกลายเป็นน้ำแข็ง เป็นลูกเห็บ ตกลงมา ดังนั้นเราต้องหาเทคนิคว่าจะทำอย่างไรให้เมฆที่จะเป็นฝน แต่ดันกลายเป็นลูกเห็บ กลับมาเป็นฝนให้ได้
“ตรงนี้ต้องใช้เครื่องบินที่มีความเร็วสูง ซึ่งที่ผ่านมาเราได้รับความร่วมมือจากกองทัพอากาศในการสนับสนุนเครื่องบินอัลฟ่า เจ็ท เข้ามาช่วยในการขึ้นไปยิงเมฆเหล่านี้ด้วยกระสุนที่บรรจุสารซิลเวอร์ไอโอดายน์ เพื่อสลายเมฆลูกเห็บ ให้กลายเป็นฝน ซึ่งปีที่ผ่านมาเราตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่ จ.เชียงใหม่ แต่ปีหน้าจะขยับไปทำที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งได้รับผลกระทบจากพายุลูกเห็บบ่อยครั้ง” สุรสีห์ กล่าว
# ความเดือดร้อนไม่มีวันหยุด
ในห้วงที่ฝนตกหนัก จนเกิดภาวะน้ำท่วมตามที่เห็นเป็นข่าว ใครหลายคนอาจมองว่ากรมฝนหลวงฯ น่าจะทำงานน้อยลง แต่ในความเป็นจริงถือเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ซึ่งเรื่องนี้ “สุรสีห์” บอกว่า จริงอยู่ที่น้ำท่วมถือเป็นปัญหาสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในหลายพื้นที่ แต่การสื่อสารบ้านเราเลือก “สื่อเฉพาะมุม” เน้นที่ “ดราม่า” มากไป และด้านเดียว เมื่อเห็นฝนตก น้ำท่วม ก็นำความเสียหายมานำเสนอ จนลืมไปว่าในขณะที่ในจุดหนึ่งกำลังมีปัญหาน้ำท่วม.....
แต่ในอีกหลายๆจุด “แล้ง” จะตายอยู่แล้ว มีเกษตรกรร้องขอฝนหลวงเข้ามาเต็มไปหมด ตรงนี้อย่าวัดกันที่ความรู้สึก ให้วัดกันที่ภาพรวม…..
“กรมฝนหลวงถือเป็นกลุ่มที่ทำงานเบื้องหลัง เป็นพวกปิดทองหลังพระก็ว่าได้ เพราะไม่ค่อยมีใครพยายามเข้าใจ ทั้งที่เราเหนื่อยมาก แต่เราก็ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้เพราะในหลวงรับสั่งว่ากรมฝนหลวงฯคุณต้องทำเต็มที่ เราไม่มีวันหยุดนะ เพราะ.....
“ความเดือดร้อนของประชาชนไม่มีวันหยุด”!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี