แต่เดิมมนุษย์นั้นมีมุมมองว่า “ความตาย” ไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่จำเป็นต้องหนี หากต้องเผชิญหน้าอย่างมีสติและด้วยความสงบ ทว่าเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ด้วยความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์ ทำให้มนุษย์สามารถยื้อกับความตายได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม หลายครั้งที่ความพยายามของญาติพี่น้องในการยื้อชีวิต ได้กลายเป็นการสร้างความทุกข์ทรมานกับตัวผู้ป่วยนั้นเอง เพราะทำได้เพียงเลี้ยงไว้ด้วยเครื่องช่วยหายใจเท่านั้น ขณะเดียวกันแพทย์ก็ไม่กล้าที่จะปล่อยให้ผู้ป่วยตายไปตามธรรมชาติ เพราะกลัวจะผิดทั้งกฏหมายและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
พญ.สิรินทร ฉันศิริกาญจน หัวหน้าหน่วยเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี เล่าถึงประสบการณ์ของการทำงานเป็นอายุรแพทย์ที่ดูแลผู้สูงอายุว่า ด้านหนึ่งตนเข้าใจถึงจรรยาบรรณแพทย์ที่ถูกสั่งสอนกันมา ว่าจะต้องรักษาผู้ป่วยให้ถึงที่สุด ดังนั้นเทคโนโลยีต่างๆ จึงถูกนำมาใช้ แต่อีกด้านหนึ่ง ในบางกรณี พบว่าเครื่องช่วยชีวิตเหล่านี้กลับกลายเป็นเครื่องทรมานตัวผู้ป่วยเอง ให้อยู่ในสภาพ “อยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้” เช่นกัน
“อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนเรือกำลังจะจมน้ำ อาจารย์ท่านบอกว่าเธอมีหน้าที่ ก็คือเธอต้องหวิดน้ำออกด้วย เธอต้องอุดรูรั่วด้วย ระหว่างนั้นเราต้องหาอะไรช่วยประคองไว้ก่อน ถ้าหากว่าโรคที่มีทั้งหลายแหล่เราอุดรูรั่วได้เราหวิดน้ำออกได้มีคนช่วยประคองนะช่วงระหว่างนั้น ก็จะทำให้เขามีโอกาสฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้ ฟื้นกลับมาในศักยภาพได้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่พัฒนาขึ้นมาตามลำดับ ตอนหลังมันก็เลยลามปามเลยเถิด เมื่อไหร่ก็ตามที่โรคเป็นมากขึ้น เราจะรู้สึกว่ายังน่าจะมีความหวังนะ ก็จับใส่เข้าไป มันเลยกลายเป็นเครื่องที่จะพันธนาการคนไข้เอาไว้
อาจารย์ชอบพูดง่ายๆ อยู่ก็ไม่ได้ไปก็ไม่ได้ อยู่ก็ไม่ดีไปก็ไม่ได้ เพราะเครื่องนี้มันใส่เอาไว้คนไข้จำนวนหนึ่ง ยังไงก็ตามใส่เครื่องไว้แค่ไหนก็ตามก็คงอยู่ไม่ได้ แต่คนไข้จำนวนหนึ่งซึ่งสมองเขาอาจจะพอไหว หมายความว่าส่วนที่ควบคุมเรื่องของการทำงานของหัวใจและการหายใจพออยู่ได้ พอเราใส่เครื่องเข้าไปจะอยู่ได้นานเป็นปี หรือหลายปี ทั้งๆที่คนไข้อาจจะไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยก็ได้” พญ.สิรินทร ระบุ
ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ต้องการจากไปอย่างสงบ จึงอาจทำ “พินัยกรรมชีวิต” ไว้ล่วงหน้า ว่าหากรักษามาถึงจุดๆ หนึ่ง ก็ขอให้แพทย์ไม่ต้องยื้อชีวิตไว้ ซึ่ง นพ.อุกฤษฏ์ มิลินทางกูร ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ อธิบายว่าต่างจากการ “การุณยฆาต” เพราะตามความหมายแล้ว การุณยฆาตคือการเร่งให้ผู้ป่วยที่ยังมีสติสัมปชัญญะดีตายเร็วขึ้น แต่กรณีพินัยกรรมชีวิตนี้คือการปล่อยให้ตายไปตามธรรมชาติเท่านั้น
เช่นหากแสดงเจตจำนงไว้ล่วงหน้าแล้วว่า เมื่อประสบเคราะห์จนอยู่ในภาวะสมองตาย ก็ขอให้แพทย์ไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจยื้อเอาไว้ เป็นต้น ซึ่งเป็นความยินยอมของเจ้าตัวเองตั้งแต่ขณะที่ร่างกายและจิตใจยังอยู่ในสภาพปกติดีอยู่ แต่ในทางตรงกันข้าม หากเจ้าตัวไม่ได้ทำพินัยกรรมชีวิตนี้ไว้ล่วงหน้า ก็จะไม่สามารถใช้ช่องตรงนี้ได้
“ในแง่กฎหมาย การแสดงเจตนาคือต้องทำโดยเจ้าตัว และมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ถ้าทำไว้ล่วงหน้าก็ทำได้ สมมติเราประสบอุบัติเหตุแล้วสมองตาย แบบนั้นก็ได้อยู่” นพ.อุกฤษฏ์ อธิบาย
ในมุมมองด้านกฎหมาย พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีกฎหมายอย่าง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ที่มาตรา 12 ระบุว่า..บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข ที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติความทรมานจากการเจ็บป่วยได้..ดังนั้นจึงถือเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล ที่จะไม่รับการรักษาในทำนองดังกล่าวได้
“จะเห็นว่า พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติของเรา ในมาตรา 12 ก็ได้บัญญัติไว้ชัดเจนว่า บุคคลมีสิทธิในการที่จะปฎิเสธการรักษาในระยะสุดท้ายที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดระยะเวลาออกไปเท่านั้นเอง จะเกิดความทุกข์ทรมานจะต้องใช้ที่ช่วยหายใจ จะต้องเจาะคออะไรต่างๆเหล่านั้นนะครับ ก็เป็นมุมมองแนวคิดหนึ่ง
ทางกรมและทางกระทรวงยุติธรรม เห็นว่าสอดคล้องกับพันธะกรณีสากลที่เรามีอยู่ประกอบกับเป็นเรื่องที่น่าจะเผยแพร่ให้เกิดมุมความรู้ในวงกว้างเพื่อที่ผู้สูงอายุ ผู้ที่จะประสบเหตุหรืออุบัติเหตุอะไรต่างๆจะได้มีความตระหนักว่าเราสามารถจะทำพินัยกรรมชีวิตล่วงหน้าได้” อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังมีสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณา คือ “ความไว้ใจ” ด้านหนึ่งแพทย์เองอาจจะมองว่าญาติจงใจรีบให้ผู้ป่วยจากไปเร็วๆ เพราะหวังมรดกหรือไม่? ขณะเดียวกันญาติผู้ป่วยเองอาจจะสงสัยว่าแพทย์ทำงานเต็มที่แล้วหรือยัง? ซึ่งจุดนี้ พญ.สิรินทร อธิบายว่า สำหรับเรื่องของแพทย์แล้ว การวินิจฉัยใดๆ ย่อมต้องมีหลักฐานทางวิชาการรองรับ เช่นที่ผ่านมาก็ไปเป็นพยานในศาลบ่อยๆ เพราะหลายกรณีต้องไปยืนยันว่าบุคคลนั้นมีอาการทางสมอง จนต้องมีผู้อนุบาลดูแล ดังนั้นหากทำถูกหลักวิชาการแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล
“หมอจะรู้ได้อย่างไร? อาจารย์คิดว่าเวลาที่หมอตัดสินใจ ไม่ต้องไปรู้หรอกค่ะว่าเขาจะได้หรือไม่ได้มรดก แต่หมอต้องตัดสินใจให้เรารู้ว่าโรคนี้เป็นอย่างไร ส่วนใครจะได้มรดก ใครจะได้ส่วนกลาง อันนี้เป็นเรื่องของศาลแล้วค่ะ อาจารย์พูดนิดหนึ่ง อาจารย์ดูแลคนไข้ อาจารย์ขึ้นศาลบ่อย
บางคนจะตื่นเต้นเวลาขึ้นศาล แต่อาจารย์ไม่ค่ะ เพราะอาจารย์มีหน้าที่ไปเป็นพยาน บอกว่าคนไข้ป่วยเป็นอะไรและไม่สามารถดูแลตัวเองได้ในระดับไหน และจะให้ใครเป็นผู้อนุบาล นั่นเป็นเรื่องของศาล เพราะฉะนั้นในด้านของหมอ ถ้าหมอมองอยู่ในด้านของตัวหมอเองแล้ว ก็ไม่ต้องถามว่าใครเป็นอย่างไร และถ้ามีญาติมาติดต่ออะไรทั้งหลายแหล่เราก็ไม่ และขอตัดสินตามวิชาชีพเท่านั้น” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้สูงอายุรายนี้ ฝากทิ้งท้าย
แนวคิด “พินัยกรรมชีวิต” ดูผิวเผินอาจเป็นเรื่องใหม่ แต่จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่สังคมไทยอันมีรากฐานวัฒนธรรมแบบพุทธศาสนาล้วนคุ้นเคยกันดี ดังวิธีฝึกจิตที่เรียกว่า “มรณสติ” หรือการระลึกอยู่เสมอว่าความตายอยู่ไม่ไกลจากตัวเรา เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตแต่ละวันให้มีค่าทั้งต่อตนเองและส่วนรวมให้มากที่สุด และเพื่อเตรียมตัวที่จะ “ตายดี” หรือจากโลกนี้ไปอย่างสงบ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงกังวล เช่นเรื่องของการแบ่งมรดกและรูปแบบของพิธีศพ
ด้วยเหตุนี้ แนวคิดดังกล่าวจึงถูกนำมาประยุกต์เข้ากับสิทธิส่วนบุคคล ในการเลือกที่จะปฏิเสธการรักษา ที่ท้ายสุดแล้วทำได้เพียงยื้อลมหายใจไว้ แต่มิได้ทำให้อาการดีขึ้น ด้วยการทำหนังสือไว้ล่วงหน้า เพื่อที่ด้านหนึ่งแพทย์จะได้สบายใจในการทำหน้าที่ ขณะที่อีกด้านหนึ่งผู้ป่วยจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็น อีกทั้งญาติก็จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายไปเปล่าๆ โดยไม่เกิดประโยชน์อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องเน้นย้ำ..“พินัยกรรมชีวิต” ไม่ใช่ “การุณยฆาต” ดังนั้นแพทย์ผู้รักษา ต้องทำหน้าที่ตามหลักวิชาการอย่างเต็มที่ และจะทำได้ก็ต่อเมื่อผู้ป่วย “แสดงเจตนา” ไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วเท่านั้น!!!
นนทิยา ตาน้อย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี