14 ตุลาคม 2516...การชุมนุมทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของไทย ว่ากันว่าในครั้งนั้นมีประชาชนทุกเพศ วัย อาชีพ มารวมตัวกันกว่า 5 แสนคน เพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปสังคมให้เป็นธรรม หลังต้องอยู่ภายใต้เผด็จการทหารมานานนับทศวรรษ จากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถึงจอมพล ถนอม กิตติขจร
ทว่าแม้จะผ่านมาแล้ว 41 ปี สิ่งที่เรียกว่า “การปฏิรูป” อย่างแท้จริง กลับยังไม่เกิดขึ้นอย่างที่หวังกันไว้!!!
บุญส่ง ชเลธร รองคณบดีวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะ 1 ใน 13 คน ที่เป็นผู้นำนักศึกษา ซึ่งถูกจับขณะเดินแจกใบปลิวเชิญชวนให้ร่วมการชุมนุม จนได้รับฉายาจากสื่อมวลชนสมัยนั้นว่า “13 กบฏรัฐธรรมนูญ” มองว่า สังคมไทย ณ วันนี้ ทวีความซับซ้อนขึ้นกว่าเมื่อ 4 ทศวรรษก่อนอย่างเทียบกันไม่ได้
อาจารย์บุญส่งอธิบายว่า ระบอบทหารในอดีตมีความเป็นเผด็จการอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นประชาชนไม่ว่ากลุ่มใดต่างก็ไม่มีเสรีภาพ ดังนั้นเมื่อมีการลุกขึ้นต่อสู้จึงเป็นไปเองโดยไม่ต้องนัดหมาย ทว่าในปัจจุบัน สังคมไทยกำลังเผชิญกับสิ่งที่อาจไม่คุ้นเคยมาก่อน นั่นคือ “เผด็จการรัฐสภา” หรือ “เผด็จการจากการเลือกตั้ง” ทำให้เกิดความคิดที่แตกต่าง ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในรอบหลายปีมานี้ เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง หรือเป็นเพียงเผด็จการที่ใช้คำว่าประชาธิปไตยมาบังหน้า
“สมัยก่อนเมื่อ 40 ปีที่แล้ว จริงๆ เราเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง เพราะบ้านเมืองเผด็จการทหารมันไม่มีการเลือกตั้ง แต่มาสมัยนี้ แค่การเรียกร้องการเลือกตั้งมันยังไม่เพียงพอ เพราะเราไม่มีบทเรียนมาก่อน ว่าในที่สุดแล้วก็จะมีการฉวยผลประโยชน์จากการเลือกตั้ง การเลือกตั้งที่ไม่บริสุทธิ์ ยุติธรรม การเลือกตั้งที่มันไม่โปร่งใสทุกขั้นตอน มาเป็นบันไดก้าวขึ้นไปสู่อำนาจในการปกครองประเทศ
ถ้าใครบอกว่าเขามาจากการเลือกตั้ง มันไม่พอ มันไม่จบอยู่แค่นี้ มันจะต้องตั้งคำถามต่อไปว่า มาได้ยังไง? เพราะการเลือกตั้งของเรา มันได้พิสูจน์มาแล้วว่าคนที่แพ้การเลือกตั้ง ส่วนหนึ่งไม่ได้แพ้เพราะว่าคุณธรรมสู้ไม่ได้ ไม่ได้แพ้เพราะความรู้
ความสามารถน้อยกว่าคนที่ชนะ แต่ที่แท้แพ้เพราะหนึ่งอำนาจเงิน สองอำนาจของระบบอุปถัมภ์ อิทธิพลอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นแบบนั้นจริงๆ” อดีตผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลา รายนี้ กล่าว
อาจารย์บุญส่ง ในฐานะที่เคยใช้ชีวิตในประเทศสวีเดนร่วมๆ 30 ปี เล่าว่า สังคมไทยมีบริบทที่ต่างจากประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้วในยุโรปอย่างมาก กล่าวคือ ชาวยุโรปมักไม่ค่อยชอบนโยบายประเภท “ลด-แลก-แจก-แถม” ซึ่งตรงข้ามกับคนไทย ที่มักชอบนโยบายทำนองดังกล่าว และนี่เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน
“พูดถึงประเทศที่พัฒนาแล้วนะ ในยุโรปการเลือกตั้งก็บริสุทธิ์นะ เชื่อได้ ผมอยู่ในสแกนดิเนเวียน และผมผ่านการเลือกตั้งที่นั่นมา ก็เป็น 10 หน เหมือนกันนะ การเลือกตั้งของเขาไม่ใช้เงิน ผมกล้ายืนยันนะครับ การเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรมาเป็น สส. ใช้เงินน้อยกว่าการเลือกตั้งองค์กรนักศึกษาในมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำไป นี่กล้ายืนยันนะครับ และประเภทแจกของ แจกเงินซื้อเสียง ถ้าลองเกิดมี สส. คนไหนติดนิสัยมาจากเมืองไทย ไปสมัครที่นั่นแล้วเกิดไปแจกเงินนี่นะครับ ผมว่าชาวบ้านเขาคงงงมากเลย ว่าทำไมต้องเอาเงินมาให้เขา” อาจารย์บุญส่ง กล่าวย้ำ
ช่วงนี้กระแสที่พูดถึงที่สุด คงหนีไม่พ้น “การปฏิรูป” เพราะล่าสุดก็มีการตั้งสมาชิกสภาปฏิรูปจำนวน 250 คนมาแล้ว ซึ่งอาจารย์บุญส่ง ฝากเรื่องสำคัญไว้ 2 ประการ คือ 1.การแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะการมีกฎหมายที่เข้มงวดกวดขัน บังคับใช้จริงจัง และมีโทษที่หนักสำหรับคดีทุจริตคอร์รัปชั่น ต้องไม่มีอายุความ อีกทั้งอาจต้องมีกระบวนการทำให้คดีพิจารณาได้รวดเร็วขึ้น ไม่ใช่ปล่อยค้างนานจนหมดอายุความ อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
และ 2.การปฏิรูประบบภาษี ทุกวันนี้ประเทศไทยเก็บภาษีกันน้อยเกินไป ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมแบบ “รัฐสวัสดิการ” ที่ดูแลประชาชนทุกคนตั้งแต่เกิดจนตายได้ อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงคงต้องยอมรับอีกว่า คนไทย
ไม่ว่ารวยหรือจน ไม่ค่อยมีใครอยากจ่ายภาษีเท่าไรนัก เพราะภาพลักษณ์ของการเมืองก็ดี ระบบราชการก็ดี ไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไรนัก คนไทยจำนวนมาก มองว่าภาครัฐมีแต่การทุจริตเสียเป็นส่วนใหญ่
สรุปง่ายๆ..ถ้าทำให้เจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่านักการเมืองหรือข้าราชการประจำ หากฉ้อราษฎร์บังหลวงต้องถูกลงโทษสถานหนัก และเสมอหน้ากันไม่มีหลายมาตรฐาน ประชาชนย่อมยินดีที่จะจ่ายภาษี แม้จะต้องจ่ายมากขึ้นก็ตาม!!!
“ถามว่าคนคิดจะหนีภาษีไหม? ผมเชื่อว่าคิดหนี และไม่ใช่ว่าเฉพาะคนรวยนั้นที่คิดจะหนีภาษี คนจนก็คิดหนีภาษีเช่นเดียวกัน ถามว่าทำไมเป็นอย่างนั้น มีใครไหมครับ? สักคนหนึ่งที่เชื่อมั่น ตอบผมได้ว่าเงินภาษีอากรที่คุณจ่ายไปร้อยบาท เงินทั้งร้อยบาทได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ให้กับชุมชน ให้กับประชาชน ครบทั้งร้อยบาท ผมว่าไม่มีแม้แต่เสียงเดียวในประเทศไทยที่เชื่ออย่างนี้
เพราะเดี๋ยวนี้เราเชื่อกันว่าการคอร์รัปชั่น การเบียดบังเงินภาษีอากรประชาชน มันถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์แล้ว นั่นคือประเด็นที่หนึ่งนะครับ ประเภทที่สอง ย้อนไปดูในต่างประเทศที่เขาเก็บภาษีกันเยอะๆ นะครับ เราบอกว่าเราเสีย Vat ที่จะเสียปีหน้า 10 เปอร์เซ็นต์ ปีนี้ 7 เปอร์เซ็นต์
ในต่างประเทศแถบสแกนดิเนเวียน เก็บ Vat 25 เปอร์เซ็นต์นะ ส่วนภาษีรวมๆ นี่คนนึงเสียอย่างต่ำ 30 เปอร์เซ็นต์ และเป็นระบบก้าวหน้านะครับ มันยาวไปถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ได้เลย แต่ทำไมเขาถึงสามารถพูดได้ว่า Happy to pay Taxes หรือมีความสุขที่ได้เสียภาษีอากร เพราะผมมั่นใจอันหนึ่งนะครับ ถามคนเขาก็เชื่อนะครับ เขาเชื่อว่าเงินภาษีที่เขาเสียไป ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจริงๆ” อาจารย์บุญส่ง ให้ความเห็น
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ..ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ ในอนาคตไม่ช้าก็เร็ว สังคมไทยก็ต้องกลับไปสู่ระบอบประชาธิปไตย มีพรรคการเมือง มีการเลือกตั้งตามเดิม ซึ่งคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการต่อสู้ทางความคิด เพราะในความเป็นจริง ไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนทุกคนจะเห็นตรงกัน ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนาไปมาก ไม่ว่ายากดีมีจน การศึกษามากหรือน้อย ล้วนมีช่องทางรับข่าวสารมากมาย
อดีตผู้นำนักศึกษารายนี้ มองว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีการถกเถียง มีความขัดแย้งทางความคิดเกิดขึ้นได้ในสังคมประชาธิปไตย แต่สิ่งที่คนไทยและสังคมไทยต้องเรียนรู้ คือต้องจำกัดวงไว้แต่เพียงการปะทะกันทางมุมมองความคิดเท่านั้น
ไม่ลุกลามไปเป็นความรุนแรงทางกายภาพ ประเภทจับอาวุธเข้าเข่นฆ่าทำลายล้างกัน อย่างที่ผ่านมา
“มันยากที่จะหาประเด็นใด ที่คนจะได้เห็นด้วยกันทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ มันไม่มี ผมไม่เชื่อเลย เพราะสังคมมันกว้างขึ้น โอกาสในการแสดงออก โอกาสในการรับรู้ข่าวสาร ตอนนี้มันห้ามจินตนาการ ห้ามความคิดคนไม่ได้นะ ยิ่งถ้าเป็นการเมืองที่มีผลประโยชน์เกี่ยวพัน เพราะการเมืองคือการต่อสู้ที่ไปสู่ผลประโยชน์ เห็นต่างกันได้เป็นเรื่องธรรมดาครับ ผมไม่กลัวการแตกแยกนะ ผมว่ามันจบได้โดยการต่อสู้ทางความคิด ต้องเปิดโอกาส เปิดสนามในการต่อสู้ทางความคิด ผมว่ามันจะค่อยๆ หายไปเอง
ถ้าถามว่าบ้านเราพร้อมกับการ Debate (ถกเถียงกันทางความคิด)ไหม? ผมพร้อมนะ ตัวผมพร้อม อย่าใช้ความรุนแรงละกัน อันนี้ก็ต้องอาศัย มีประสบการณ์ไป ในที่สุดแล้วก็จะรู้กันว่าเป็นแบบนี้ไปไม่รอด มันก็ต้องกลับมาเจรจา ผมยังเชื่ออันหนึ่งนะว่า..แม้ในการสงคราม ท้ายที่สุดแล้วก็จะจบที่โต๊ะเจรจา..” รองคณบดีวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ ม.รังสิต ฝากทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี