หากนับตั้งแต่ 28 มี.ค. 2538 ที่มีมติคณะรัฐมนตรีให้จัดตั้ง กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ที่อยากศึกษาต่อแต่ประสบปัญหาด้านทุนทรัพย์ ถึงวันนี้ก็ผ่านไปเกือบ 2 ทศวรรษแล้ว กองทุนนี้ด้านหนึ่งได้ช่วยให้เยาวชนไทยจำนวนมากได้เข้าถึงการศึกษาในระดับสูง
แต่อีกด้านหนึ่งก็มีปัญหาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นพวกที่ “ชักดาบ” ที่เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วกลับไม่ยอมคืนเงิน จนต้องมีการติดตามทวงหนี้กันอุตลุดในปัจจุบัน หรือพวกที่ “ใช้เงินผิดประเภท” นำเงิน กยศ. ไปซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยและเที่ยวเตร่ เป็นต้น
จนเป็นที่มาของกติกาใหม่ "ไม่ถึงสองห้ามกู้"!!!
2 ก.ย. 2557..นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้มีมติเห็นชอบกำหนดมาตรการและปรับหลักเกณฑ์ กยศ. ในส่วนหลักเกณฑ์การคัดกรองผู้กู้นั้น ในสายสามัญระดับ ม.ปลาย ต้องได้เกรดเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 2.00 ขณะที่สายอาชีวะทั้งระดับ ปวช. ปวท. และ ปวส.ไม่กำหนดเกรดขั้นต่ำ เพราะต้องการส่งเสริมให้มีการเรียนด้านวิชาชีพมากขึ้น
ส่วนระดับอนุปริญญา/ปริญญาตรี เกรดเฉลี่ยระดับ ม.ปลาย ต้องไม่น้อยกว่า 2.00 รวมทั้งมีหลักฐานเข้าร่วมโครงการจิตอาสา ส่วนผู้กู้รายเก่าต้องได้เกรดเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 2.00 และมีหลักฐานเข้าร่วมโครงการจิตอาสาไม่น้อยกว่า 18 ชั่วโมง/ 1 ภาคการศึกษา
หลังข่าวนี้ปรากฏ..เสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมาย ทั้งเห็นด้วยและคัดค้าน!!!
ในส่วนที่เห็นด้วย ดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่ผู้เรียนควรมีเกรดเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 2.00 เช่นความเห็นของ นางวัชรี (นามสมมุติ) อาจารย์โรงเรียนดังแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ระบุว่า เห็นด้วยกับนักเรียนที่ต้องการกู้ยืมทุน กยศ. ควรมีเกรดไม่ต่ำกว่า 2.00 เพื่อจะได้เป็นแรงผลักดันให้เด็กได้ตั้งใจเรียนมากขึ้น ซึ่งโรงเรียนที่สอนอยู่นั้นเป็นโรงเรียนใหญ่และมีชื่อเสียง เพราะฉะนั้นในการทำขอเรื่องต่างๆ จึงเป็นไปได้ยาก กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จึงเป็นส่วนช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาส
ส่วนการที่มีเด็กบางรายนำเงิน กยศ. ไปซื้อสินค้าบางประเภท เช่นรถจักรยานยนต์ อาจารย์ท่านนี้มองว่า อยากให้ดูเป็นกรณีๆ ไป อย่าได้เหมารวม เพราะเด็กที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด การคมนาคมขนส่งอาจจะไม่ทั่วถึง จึงจำเป็นต้องใช้ จยย. ในการเดินทางไป-กลับ ระหว่างโรงเรียนกับบ้าน ซึ่งก็ถือว่าเงินที่กู้ยืม กยศ. มานั้นสร้างประโยชน์แก่ครอบครัวเด็กเช่นเดียวกัน
เช่นเดียวกับ นายเกมส์ (นามสมมุติ) นักศึกษาที่ใช้บริการ กยศ. เป็นประจำ กล่าวว่า ในความเป็นจริง การที่เด็กจะเรียนได้ 2.00 นั้นถือเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพราะเป็นมาตรฐานอยู่แล้วในทุกๆ มหาวิทยาลัย ดังนั้นการกำหนดเกณฑ์นี้สมควรเป็นอย่างมาก เพราะจะสามารถช่วยกระตุ้นให้เด็กมีความสนใจเรียนเพิ่มขึ้น เนื่องจากทุกวันนี้ปล่อยกู้แบบละหลวม อย่างที่เคยเห็นคือกู้ซื้อโทรศัพท์หรืออื่นๆ นอกเหนือจากเรื่องเรียน
นักศึกษารายนี้ เล่าว่า ครั้งหนึ่งเพื่อนของตนเคยเสนอชื่อส่งเอกสารไปแต่ไม่มีการตอบรับกลับมา เนื่องจากโควตาเงินในกองทุนของสถาบันนั้นถูกกู้ไปหมดแล้ว ทำให้เพื่อนคนนี้ไม่มีเงินเรียนเลยต้องลาออก เพราะทางมหาวิทยาลัยได้ส่งเอกสารทวงเงินค่าลงทะเบียน ค่าหอพัก ทั้งที่เป็นเด็กเรียนดี ไม่มีเรื่องเสื่อมเสียแต่อย่างใด
แต่ในส่วนน่ากังวล คือเรื่องของ “การต้องเข้าร่วมกิจกรรม”!!!
นางวัชรี มองว่า การบังคับให้ผู้กู้ต้องเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสา อาจเป็นผลร้ายกับเด็กได้ เพราะเด็กบางคนที่ฐานะทางบ้านไม่ดี ก็มักจะต้องทำงานไปเรียนไปด้วย ทำให้อาจไม่มีเวลาเข้าร่วมกิจกรรม อันเป็นการตัดโอกาสทางการศึกษาที่เด็กคนหนึ่งที่ตั้งใจเรียนควรจะได้รับ
"เด็กบางคนเรียนด้วยและทำงานไปด้วยจึงไม่มีเวลาที่จะมานั่งห่วงเรื่องจิตอาสาของทางโครงการอยู่แล้ว เพราะเด็กมีจิตอาสาต่อครอบครัวที่ต้องการให้ครอบครัวภูมิใจว่าต่อให้บ้านเรายากจนแต่ก็สามารถเรียนจบได้ โดยมีนโยบายตรงนี้เป็นตัวช่วยผลักดันสร้างเด็กไทยให้เข้มแข็ง หากต้องมีการนำโครงการจิตอาสามาเกี่ยวข้องตรงนี้ด้วยถือว่าเป็นการซ้ำเติมเด็กที่ขาดโอกาสตรงนี้ด้วยเช่นกัน" ครูรายนี้ ฝากทิ้งท้าย
ต้องยอมรับว่า กยศ. ที่ผ่านมาประสบปัญหาไม่น้อยด้านการไม่คืนเงิน ถึงขนาดที่ครั้งหนึ่ง การสำรวจของ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) พบว่า ในจำนวนนิสิตนักศึกษาที่ไม่ชำระหนี้คืนเงินกู้ กยศ. ร้อยละ 3 คิดว่าการไม่คืนเงินไม่ผิด และอีกร้อยละ 19 คิดว่าผิดไม่ร้ายแรง ซึ่งแม้จะสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างเพียง 5,654 คน แต่หากติดตามข่าวสาร จะพบว่าตัวเลขจริงๆ ของคนที่คิดแบบนี้น่าจะมีไม่น้อย
ไม่เช่นนั้น กยศ. คงไม่ต้องใช้บริการ “ฝ่ายติดตามหนี้สิน” ในการไล่ทวงหนี้ ถึงขนาดที่ขู่ว่าหากยังไม่ยอมคืน อาจมีการฟ้องร้องตาม ประมวลกฎหมายพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ให้ทำการยึดทรัพย์บรรดาลูกหนี้จอมชักดาบทั้งหลาย และมีอายุความ 10 ปีหลังศาลมีคำพิพากษา รวมทั้งการนำเงินไปใช้ผิดประเภท ทำให้ต้องกำหนดเกณฑ์ผลการเรียนขั้นต่ำ 2.00 ซึ่งจะช่วยคัดกรองเด็กที่มีความตั้งใจจริง ให้สมควรได้รับสิทธิ์นี้มากขึ้น
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วง ไม่ว่าจะเป็นครูหรือนักเรียน คือเรื่องของการกำหนดให้ผู้กู้ต้องเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาด้วย เพราะในความเป็นจริง หากไปดูนักเรียน-นักศึกษา ที่ฐานะไม่ดีนักและต้องการเงินทุนการศึกษา นอกจากจะอาศัยการกู้ยืมกับ กยศ. แล้ว มักจะต้องทำงานหารายได้เสริมให้ตนเองไปด้วย โดยเฉพาะยิ่งถ้ามีบุคคลในครอบครัวต้องดูแล เช่นมีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องที่ล้มป่วยจนดูแลตนเองไม่ได้ ทำให้ยากที่ผู้เรียนกลุ่มนี้จะมีเวลาเข้าร่วมกิจกรรม จึงอาจเป็นการตัดโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิตของตน ผ่านการได้ศึกษาในระดับสูง
เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบและรอบด้าน มิเช่นนั้นแล้ว อาจเข้าทำนอง “เผาบ้านไล่หนู” ที่ถึงจะไล่ไปได้จริง แต่ก็เสียบ้านไปทั้งหลัง อันหมายถึงการตัดโอกาสคนดีๆ มีความตั้งใจเรียนจริงๆ ซึ่งไม่คุ้มกันเลย!!!
บุษยมาศ ซองรัมย์
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี