“ฝนตก แต่ไม่มีน้ำ”…..เป็นคำที่ชาวบ้านชนเผ่าหลายคนในพื้นที่ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ หรือแม้แต่พื้นที่ใกล้เคียง พูดกันบ่อยครั้งกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ที่ฟังแล้วอาจทำให้พวกเราอยากรู้ว่าความหมายของคำๆ นี้มันคืออะไร แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่ว่านี้มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ
ด้วยสภาวะภูมิอากาศที่แปรปรวนไปจากอดีต ทำให้ฝนที่เคยตกในช่วงฤดูฝนตาม “ปฏิทินฝน” ไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว ฝนมาช้าและมีระยะการตกที่สั้นลง เร่งให้ “ฤดูแล้ง” มาเร็วขึ้น ปริมาณน้ำฝนที่ตกไม่สม่ำเสมอ ประกอบกับลักษณะดิน เช่น ดินทราย หรือดินแดง ซึ่งไม่มีคุณสมบัติพอต่อการกักเก็บน้ำนั้นมีพื้นที่ที่มากขึ้น ปริมาณต้นไม้ลดลงทำให้ไม่สามารถดูดซับน้ำเอาไว้ได้อย่างที่ควร
“ภูมิปัญญาชาวบ้าน” ที่มองเห็นเมฆก่อตัวแล้วสันนิษฐานว่าฝนใกล้จะตกนั้น ใช้ไม่ได้อีกต่อไป สิ่งเหล่านี้ล้วนอธิบายความหมาย ของคำว่า “ฝนตก แต่ไม่มีน้ำ”…
ทุกพื้นที่ทั่วโลกต่างประสบกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในรูปแบบที่ต่างกัน แต่เชื่อมโยงถึงกัน คำถามที่ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปนั้น เป็นสิ่งที่เราทุกคนควรตรึกตรอง แต่ที่มากกว่านั้น คือ เราจะตั้งรับและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงนั้นได้อย่างไร???
“วิจิตร พนาเกรียงไกร” เลขานุการเครือข่ายลุ่มน้ำบ้านแม่ละอุป ต.แจ่มหลวง อ.กัลยาณิวัฒนา เล่าให้ฟังถึงการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านประสบปัญหาน้ำแล้ง เพราะนายทุนตัดถนนเข้ามาในป่าเพื่อเข้าไปตัดต้นไม้ โดยเฉพาะ “ต้นไก๋” แล้วนำเปลือกไปขาย เนื่องจากเปลือกไม้ไก๋มีราคาแพง เมื่อต้นไม้ถูกตัดไปมากๆ ก็ทำให้น้ำแล้ง ไม่มีน้ำทำนาทำไร่ ฝนก็ไม่ค่อยตกอย่างที่เคย ตอนนั้นชาวบ้านเดือดร้อนกันมาก ถึงขนาดต้องทะเลาะ “แย่งน้ำ” กัน
การใช้งานทรัพยากรธรรมชาติอย่างหนักจนเกินขีดความสามารถ ส่งผลกระทบเป็น “ลูกโซ่” ทั้งป่า ดิน น้ำ สู่คน เราควรทำอย่างไรที่จะลดผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้น???
“พอเกิดปัญหา พวกเราก็นึกถึงภูมิปัญญาชาวบ้าน และนึกถึงโครงการหลวง เช่น การสร้างฝาย ที่ยิ่งสร้างฝาย น้ำก็ยิ่งมี เราก็ศึกษาวิธีการสร้างฝาย ซึ่งตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เราช่วยกันสร้างฝายจนถึงตอนนี้ก็มีฝาย 400 กว่าตัวทั่วหมู่บ้าน ทำให้มีน้ำเพียงพอสามารถทำการเกษตรได้ สัตว์น้ำก็มี ชาวบ้านอยู่ได้แบบพอมีพอกิน” วิจิตร เล่าอย่างภาคภูมิใจ
นอกเหนือจากการสร้างฝายที่เป็นวิถีชุมชนที่ชาวบ้านแม่ละอุปเลือก ในการปรับตัวต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ชาวบ้านยังได้คิดวาง “ระบบประปา” โดยต่อท่อจากบนเขา แล้วติดตั้งไปทั่วหมู่บ้าน ให้น้ำจาก “ห้วยโก๊ะโคละ” และ “ห้วยเย็น” ไหลลงมาให้ชาวบ้านได้มีน้ำใช้ตลอดปี และถือเป็นชุมชนต้นแบบที่ถ่ายทอดความรู้ไปยังหมู่บ้านอื่นๆ ด้วย
กระทั่งเมื่อต้นเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา อ.กัลยาณิวัฒนา ได้ร่วมกับ “มูลนิธิรักษ์ไทย” จัดงาน “รวมพลังชุมชนฟื้นฟูป่าต้นน้ำตามแนวพระราชดำริ” โดยมีพิธีเปิดฝายเพื่อให้ชาวบ้าน รวมถึงภาครัฐ ได้มาร่วมกันเป็นสักขีพยานให้ชุมชน เพื่อรับรู้ว่าผืนป่า ผืนดิน ผืนน้ำ เป็นของชาวบ้านทุกคน ซึ่งชาวบ้านเป็นผู้ใช้และมีชาวบ้านเป็นผู้ดูแลรักษา รวมถึงเพื่อให้ชาวบ้านตื่นตัว และยังคงช่วยกันดูแลรักษาธรรมชาติที่พวกเขาต้องพึ่งพิงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันต่อไป
“วิจิตร” กล่าวทิ้งท้ายว่า “สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเราเข้าใจกันแล้วว่า การเดินตามแนวพระราชดำริของในหลวง หมายถึงการที่คนอยู่ร่วมกับป่าไม้ และผืนดิน ผืนน้ำ ได้แบบพึ่งพิงกันอย่างพอเพียง ซึ่งเราต้องคิดด้วยว่าเราจะปรับตัวอย่างไรให้เข้ากับธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวันโดยไม่เปลี่ยนแปลงวิถีชุมชนเดิม”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี