คงได้เห็นหน้าเห็นตา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่มีสมาชิกทั้งสิ้น 250 คน ทำงานครอบคลุมการปฏิรูปทั้ง 11 ด้าน กันไปแล้ว ซึ่งคงต้องบอกว่าทำให้บรรยากาศทางการเมืองเริ่มคึกคักขึ้นมาทันที เพราะหลังมี สปช. ก็เกิดข้อเสนอต่างๆ ทั้งจากคนใน สปช. เอง และจากบุคคลภายนอก ทยอยออกมากันมากมาย
ไฮไลท์สำคัญที่ทุกฝ่ายจับตามองมากที่สุด หนีไม่พ้น “การปฏิรูปด้านการเมือง” โดยเฉพาะการได้มาซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภา ว่าจะใช้แบบใด ถึงจะเหมาะสมที่สุดกับสังคมไทย ล่าสุดมีพิมพ์เขียวที่จัดทำโดย สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม นำเสนอออกมา
ที่เป็นกระแสไปเมื่อไม่นานนี้..คือคำถามที่ว่า “เลือกนายกฯ ทางตรง” ดีหรือไม่?
ด้วยเหตุนี้..เราจึงรวบรวมความเห็นของทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เช่น ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาลอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความใน Facebook ส่วนตัว “Thirachai Phuvanatnaranubala” เมื่อ 10 ต.ค. 2557 อ้างถึงแนวคิดของ ศ.ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ที่สนับสนุนการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีทางตรง โดยออกแบบวิธีการได้มาของผู้ดำรงทางการเมืองไว้คร่าวๆ ดังนี้
1.การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี จะกระทำทุกๆ 4 ปี 2.การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กระทำทุกๆ 4 ปีเช่นเดียวกัน แต่กำหนดให้เหลื่อมกับการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี 3.การเลือกตั้งวุฒิสมาชิก (สว.) ให้กระทำทุกๆ 4 ปี ในปีเดียวกับการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี 4.ผู้ที่สมัครเป็นนายกรัฐมนตรี จะสังกัดหรือจะไม่สังกัดพรรคการเมืองก็ได้ และ 5.วาระดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี มีเวลา 4 ปี และบุคคลหนึ่งจะดำรงตำแหน่งเกิน 2 วาระไม่ได้
ส่วนข้อดีของระบบนี้ คือ 1.ในการเลือกนายกรัฐมนตรี การซื้อเสียงจะทำได้ยาก เพราะต้องซื้อทั่วประเทศ และต้องซื้อถึงสองครั้ง 2.ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสมาชิก การซื้อเสียงถึงแม้จะทำได้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากจังหวะเวลาในการเลือกตั้งนั้น กำหนดให้เหลื่อมกัน
3.นายกรัฐมนตรีสามารถแต่งตั้งผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาเป็นคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องกังวลถึงมุ้งเล็กมุ้งใหญ่ หรือโควตาพรรคร่วมรัฐบาล 4.ฝ่ายค้านยังสามารถตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้ ผ่านกระบวนการถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง (กระบวนการทางรัฐสภา) และ 5.นายกรัฐมนตรีไม่สามารถละเลยรัฐสภา ต้องคัดเลือกนโยบายที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิกส่วนใหญ่เห็นด้วย ไม่ใช่นโยบายที่สุดโต่งตามใจตนเอง
สอดคล้องกับความเห็นของ บุญส่ง ชเลธร รองคณบดีวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่เสนอว่า หากเป็นไปได้อยากให้ประชาชน “เลือกคณะรัฐมนตรีทางตรง” เสียด้วยซ้ำไป กล่าวคือ ผู้สมัครเป็นนายกรัฐมนตรี ควรระบุให้ชัดว่า ใครจะมาเป็นรองนายกฯ และใครจะอยู่กระทรวงไหนบ้าง เพราะเป็นสิทธ์ิที่ประชาชนควรได้รับรู้ เพราะที่ผ่านมา แม้ประชาชนจะรู้ว่าต้องการเลือกให้ใครเป็นนายกฯ แต่ไม่เคยได้รู้ว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรีบ้าง ทำให้เมื่อมีการตั้ง ครม. กันแล้ว มักจะมีบุคคลที่ถูกเรียกว่า “ยี้” สอดแทรกเข้ามาด้วย
“การเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนนี่ ผมไม่ได้หมายความว่าเป็นการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง แต่ผมเห็นว่าควรจะเป็นการเลือกตั้ง คณะรัฐมนตรีโดยตรงจากประชาชน รัฐมนตรี ทั้งนี้อาจจะไม่ต้องทั้ง 30 กว่าท่าน แต่อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง อันนี้รายละเอียดพูดกันได้ สาเหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะผมเห็นว่า ถ้าเราให้ สส. เลือกนายกฯ และนายกฯก็ไปเลือกรัฐมนตรีอย่างเดิม มันก็จะมีพวกโจรที่โผล่มาทีหลัง คุณจะได้พวกพ่อค้า ฉ้อฉล พวกเลวทรามต่ำช้า ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีเต็มไปหมดเลย
แต่ถ้าคุณเลือกตั้งคณะรัฐมนตรีโดยตรงจากประชาชน ก็ต้องเสนอมาเลยนะว่าทีมคุณใครเป็นนายกฯ ใครเป็นรองนายกฯ ใครเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง รัฐมนตรีช่วยคุณอาจไม่ต้องเสนอก็ได้ ยอมนะครับครึ่งหนึ่งเพราะนั้นคุณจะชัดเจนเลยว่า ถ้าคุณเลือกทีมนี้ไป คุณจะรู้เลยว่าจะได้ใครมาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ คุณจะได้ใครมาเป็นมหาดไทย คุณจะได้ใครมาเป็นยุติธรรม คุณได้ใครเป็นนายกฯ คุณต้องชัดเจนอย่างนี้”
รองคณบดีวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวและเสริมว่า การเลือกทีมผู้สมัครชิงเก้าอี้ ครม. ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมืองก็ได้ เพื่อเป็นการกว้างกับกลุ่มที่หลากหลาย
แม้การเลือกนายกฯ หรือ ครม. ทางตรง จะดูน่าสนใจ แต่ก็มีข้อกังวลเช่นกัน อดีตรมว.คลัง กล่าวถึงข้อสังเกตของวิธีดังกล่าวไว้ดังนี้ 1.การประสานงานระหว่างนายกรัฐมนตรีกับรัฐสภาจะยากขึ้น หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสมาชิกส่วนใหญ่เป็นพรรคฝ่ายค้านหรืออยู่คนละฝ่ายกัน และ 2.ประสิทธิภาพขององค์กรอิสระ ที่จะถ่วงดุลนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง จะต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เช่นเดียวกับ ถวิล ไพรสณฑ์ อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และอดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ระบุว่า การเลือกตั้งนายกฯ และครม. โดยตรง ไม่น่าจะเหมาะสมกับสังคมไทย เพราะที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่า หากมีฝ่ายบริหารที่เข้มแข็งเกินไป และมีการตรวจสอบได้ยากจะเป็นอันตรายมาก อีกทั้งระบบนี้มักนิยมใช้กันเฉพาะประเทศที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ ขณะที่ประเทศไทยนั้นอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ
“มีหลายประเด็นที่ตนไม่เห็นด้วย อาทิ ประเด็นข้อเสนอให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกนี้นอกจากระบบประธานาธิบดี และน่าอันตรายทำให้นายกฯ มีความเข้มแข็งมาก การถอดถอนจะต้องใช้มติประชาชน ซึ่งวัฒนธรรมไทยหากมีฝ่ายบริหารที่เข้มแข็งเกินไปและมีการตรวจสอบยากจะอันตรายมากกว่าการปฏิวัติรัฐประหารด้วยซ้ำ แม้แต่การเลือกนายกฯทางอ้อม คือเลือกจากสส.ในสภา หากมีรัฐบาลที่เข้มแข็งที่มีเสียงข้างมากอย่างท่วมท้นจนฝ่ายค้านอภิปรายอะไรไม่ได้ ก็ยังอันตราย
ถ้าเลือกตั้งนายกฯ โดยตรงไม่อันตรายกว่าหรือเพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาหรือ ปลดจากตำแหน่งไม่ได้เลย ถ้าเราใช้ระบบรัฐสภาที่มีมานานและมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างนี้ ผมคิดว่าระบบการเลือกตั้งนายกฯโดยตรงเป็นไปไม่ได้ และไม่ควรมี ซึ่งควรใช้การเลือกตั้งทางอ้อมเช่นปัจจุบัน แต่ต้องหามาตรการหรือกระบวนการต่างๆ ที่เป็นการเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรม เพราะไม่ว่าจะใช้วิธีไหนถ้าซื้อเสียงได้ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม สิ่งที่ควรทำคือจะแก้ปัญหาการขายสิทธิ์ซื้อเสียงอย่างไรมากกว่า” อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์รายนี้ ให้ความเห็น
แนวคิดการได้มาซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งนายกฯ ครม. สส. สว. เบื้องต้นยังไม่ได้ข้อสรุป และจากการรวบรวมของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ตลอดจนความเห็นของหลายฝ่าย แต่ละวิธีก็มีทั้งข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันไป
ท้ายที่สุดแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับต่อไป จะเลือกวิธีใดมาใช้..อีกไม่นานคงได้รู้กัน!!!
แก้วกานดา ตันเจริญ
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี