ชัดเจนแล้วสำหรับนโยบาย “ราคาพลังงาน” ภายใต้รัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่หาญกล้าออกมาประกาศแบบไม่กลัวชาวบ้าน “ส่ายหน้า” ว่าจะปรับโครงสร้างราคาพลังงานแบบ “ยกแผง” ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง หลังเปลืองเงินอุดหนุนหลายแสนล้านบาท และล่าสุด “ณรงค์ชัย อัครเศรณี” รมว.พลังงาน ออกมาฟันธงชัดเจนว่าแผนการปรับราคาพลังงานครั้งนี้จะแล้วเสร็จภายใน 1 ปี
นั่นเท่ากับว่า “นับถอยหลัง” จากนี้ ไปราคาพลังงานจะอยู่ในช่วง “ขาขึ้น”!!!
ตามแผนงานนั้นในวันที่ 22 ต.ค.นี้ สำนักนโยบายและแผนพลังงาน จะเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติหรือ “กพช.” ให้เคาะแผนการปรับราคา “ก๊าซ”ทุกประเภทอีกระลอก ตั้งแต่ราคาก๊าซหุงต้ม หรือ “แอลพีจี” ที่มาต้นทุนกิโลกรัมละ 27.85 บาท โดยภาคขนส่ง ปัจจุบันอยู่ที่กิโลกรัมละ 22 บาท จะต้องปรับขึ้น 5.85 บาท และภาคครัวเรือน ปัจจุบันอยู่ที่ 22.63 บาท จะต้องปรับขึ้นอีก 5.22 บาท โดยจะทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันได เดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม เป็นระยะเวลา 12 เดือน
ส่วนก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือ “เอ็นจีวี” ที่ขึ้นราคามาแล้วเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา อีกกิโลกรัมละ 1 บาท จาก 10.50 บาท เป็น 11.50 บาท แต่ต้นทุนที่แท้จริง ตามที่ ปตท.ระบุคือ 15-16 บาท ส่วนราคาน้ำมัน “ดีเซล” มีโอกาสสูงที่ราคาจะทะลุ 30 บาท จากที่ถูกตรึงไว้ 29.99 บาท เพราะรัฐบาลประกาศเตรียมปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตราคาน้ำมันดีเซลที่ขณะนี้จัดเก็บ 0.75 บาทต่อลิตร จากก่อนหน้านี้ระบุชัดว่าภาษีสรรพสามิตที่เหมาะสม คือ 3 บาท ทำให้แนวโน้มดีเซล มีโอกาสแตะ 33–34 บาท
เมื่อราคาพลังงาน “ขยับ” ก็เป็นที่เชื่อได้ว่าราคาสินค้า และภาคขนส่ง เป็นต้น จะ “เขยิบ” ตาม เพราะพลังงานถือเป็นต้นทุนหลักของผู้ประกอบการในภาคต่างๆ และของประชาชน ซึ่งบรรดาผู้ประกอบการต่าง “ตบเท้า” ร้องขอกระทรวงคมนาคมให้ขึ้น “ค่าโดยสาร” โดยพร้อมเพรียงกัน
“รถแท็กซี่” เป็นกลุ่มแรกที่เข้ามายื่นเรื่องตั้งแต่เดือน ก.ย. และก็เป็นกลุ่มแรกที่ได้ไฟเขียวขึ้นราคาแล้ว หลังไม่ได้ขยับมานานกว่า 8 ปี ขณะที่ “รถสองแถว” ขอขึ้นราคาจาก 7 บาท เป็น 10 บาท
ส่วน “รถเมล์ร่วม ขสมก.” ก็ขอขึ้นค่าโดยสารอีก 2 บาท โดย “นางภัทราวดี กล่อมจรูญ” นายกสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสารประจำทาง หรือรถร่วม ขสมก. บอกว่าถ้าราคาพลังงานขยับ ก็ต้องการให้กระทรวงคมนาคมปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารให้เหมาะสม โดยขอปรับขึ้นค่าโดยสารรถธรรมดา 8 บาท เป็น 10 บาท รถมินิบัสสีส้ม 8 บาท และรถปรับอากาศระยะละ 2 บาท จากปัจจุบันเก็บอัตราระหว่าง 11-22 บาท
ขณะที่ “นายบรรยงค์ อัมพรตระกูล” ประธานชมรมรถร่วม ขสมก. บอกว่า การขยับราคาแอลพีจีถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะพ่อค้า แม่ค้าจะขึ้นราคาสินค้าตามราคาพลังงาน และเมื่อใดที่ราคาดีเซล และเอ็นจีวี ขยับขึ้นพร้อมกันก็จะทำให้เดือดร้อนไปทั่ว มีผลต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลกระทบหลักของบ้านเราที่ควรคำนึงถึงอันดับแรก
“แม้กลุ่มรถร่วม ขสมก.จะใช้เอ็นจีวีเป็นหลัก แต่ก็มีปัญหาไม่น้อยในเรื่องของรถเมล์ฟรีที่ให้บริการ เพราะประชาชนเลือกขึ้นรถเมล์ฟรี ทำให้รถร่วม ขสมก.มียอดใช้บริการน้อยลง และถ้าเอ็นจีวีขยับขึ้นอีกในสภาพที่ผู้ใช้บริการก็น้อยลง ผู้ให้บริการก็คงต้องจอดรถทิ้ง” บรรยงค์ กล่าว
ส่วนกลุ่ม “สิงห์รถบรรทุก” ขนส่งสินค้า ก็มีแผนจะปรับขึ้นค่าขนส่งเช่นกัน โดย “นายยู เจียรยืนยงพงศ์” ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ถ้ามีการปรับราคาแอลพีจี เอ็นจีวี หรือ ดีเซล ในเดือน ต.ค.นี้ ทางสมาพันธ์ฯก็มีแผนจะปรับขึ้นค่าขนส่งในเดือน พ.ย.อีก 5% เช่นกัน เพราะต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ที่ขาดไม่ได้ คือ “เจ๊เกียว” นางสุจินดา เชิดชัย นายกสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสาร และเจ้าของกลุ่มบริษัทเชิดชัยกล่าวว่า ทางสมาคมฯ จะเสนอขอปรับขึ้นราคาค่าโดยสารอย่างแน่นอน หากราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นจนสูงกว่าลิตรละ 30 บาท ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขการกำหนดโครงสร้างราคาที่เคยทำไว้ร่วมกับกระทรวงคมนาคม
ด้านทางน้ำอย่าง “เรือโดยสารเจ้าพระยา” ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ขอขึ้นราคาบ้าง โดย “น.ท.ปริญญา รักวาทิน” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้ยื่นเรื่องถึงกรมเจ้าท่า เพื่อขอปรับราคาอัตราค่าโดยสารเพิ่มอีกประมาณ 2 บาทไปแล้ว
นอกจากนี้ การขึ้นราคาพลังงาน โดยเฉพาะแอลพีจียังส่งผลกระทบต่อ “ราคาอาหาร” ซึ่งจากการคำนวณของกระทรวงพลังงาน พบว่า การปรับขึ้นแอลพีจี ภาคครัวเรือน 1 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 15 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม จะส่งผลให้ต้นทุนอาหารเพิ่มขึ้น 5 สตางค์ต่อจาน และหากปรับขึ้นให้สะท้อนต้นทุนอีก 5.22 บาทต่อกิโลกรัม หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 78.30 บาทต่อถัง จะทำให้ต้นทุนอาหารเพิ่มขึ้น 30 สตางค์ต่อจานซึ่งพ่อค้า แม่ค้า ก็ “กังวล” กับเรื่องนี้
“ป้าน้อย” หญิงวัย 56 ปี ชาว จ.นครราชสีมา ปัจจุบันเปิดร้านอาหารตามสั่งอยู่ในย่านหลักสี่ เล่าว่า รู้สึกกังวลไม่น้อยหากราคาแอลพีจีจะปรับขึ้น โดยเฉพาะหากปรับในอัตราสูงสุดกิโลกรัมละ 6 บาทจริง เพราะทุกวันนี้แก๊ส 1 ถัง ใช้ได้เพียง 3 วัน ก็หมดแล้ว อีกทั้งไม่อยากปรับราคาอาหารขึ้น เพราะกลัวลูกค้าจะลดลง ดังนั้น เธอกล่าวว่าอาจจะต้องใช้วิธีการลดปริมาณอาหารลง
เช่นเดียวกับ “ลุงอุทัย” พ่อค้า “ข้าวโพดย่าง” วัย 62 ปี จาก จ.ยโสธร บอกว่า ที่อยู่ได้เพราะมี “บัตรส่วนลดพลังงาน” ที่กระทรวงพลังงานโดยรัฐบาลชุดก่อนออกให้ ดังนั้นสิ่งที่คุณลุงขอร้องรัฐบาลชุดนี้ คือหากจะต้องขึ้นราคาแอลพีจีจริงๆ ก็ขอให้บัตรส่วนลดพลังงานยังคงใช้ได้ด้วย อย่ายกเลิก เพื่อไม่ให้ร้านค้าเล็กๆ ต้องแบกรับภาระจนเกินไป
“ผมขายถุงหนึ่งกำไร 3 บาท ถ้าแอลพีจีขึ้นราคา กำไรผมอาจจะเหลือสัก 10 สลึง ก็ต้องประคองไว้ ที่สำคัญรัฐบาลอย่ายกเลิกบัตรส่วนลดพลังงานก็แล้วกัน” ลุงอุทัย ฝากบอกไปถึงลุงประยุทธ์
ข้างต้นเป็นผลกระทบที่จะตามมาจากการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ถือเป็น “ความทุกข์” ที่จ่อถาโถมใส่ประชาชน สวนทางกับคำขวัญของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ “คสช.” และ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เน้นย้ำคำว่า “คืนความสุขให้ประชาชน” มาตลอด ซึ่งต้องรอดูกันต่อไปว่ารัฐบาลจะเลือกปรับโครงสร้างราคาพลังงานอย่างไร
ที่สำคัญ.....ต้องไม่ลืมว่าเรื่องของพลังงานมันผูกติดกับค่าครองชีพ และมีผลต่อ “เสียงสนับสนุน” จากประชาชน ถ้าทำแล้วไม่โดนใจก็อาจกลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่ย้อนศรกลับมาถล่มรัฐบาล จนพังพาบโดยมีสาเหตุมาจากเรื่องของราคา “พลังงาน” ก็เป็นได้
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี