ของเก่า..เมื่อนึกถึงคำๆ นี้ เรามักให้นิยามว่าเชยบ้าง ล้าสมัยบ้าง ทว่าก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เช่น “แพทย์แผนโบราณ” จากที่เคยถูกละเลยไปในยุคที่การแพทย์แผนปัจจุบัน นำโดยตะวันตกมีความเจริญก้าวหน้ามาก ปัจจุบันศาสตร์เก่าแก่เหล่านี้ ทั้งการนวดกดจุด หรือแม้แต่พืชสมุนไพร มีการนำมาวิจัยทางวิทยาศาสตร์กันเป็นเรื่องเป็นราว และนำมาใช้รักษาผู้ป่วยยุคนี้กันมากขึ้น ในชื่อใหม่ทางวิชาการว่า “การแพทย์ทางเลือก”
อย่างไรก็ตาม..แม้แพทย์แผนไทยและแพทย์พื้นบ้าน จะเป็นภูมิปัญญาที่มีประวัติยาวนาน แต่ปัญหาที่พบก็ไม่ต่างจากศาสตร์โบราณอื่นๆ ของไทยหรือดินแดนแถบนี้ คือไม่ค่อยนิยมบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร แต่จะถ่ายทอดกันด้วยการบอกเล่า ผลคือความรู้ไม่น้อยได้เลือนหายไปตามกาลเวลา หรืออาจถ่ายทอดกันมาแบบผิดเพี้ยน
และเพราะการแพทย์เป็นเรื่องของความเป็นความตาย หากปฏิบัติอย่างไม่รู้จริงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังอุทาหรณ์หนึ่งที่เป็นข่าวไม่นานนี้ คือกรณีของหญิงชาวพม่า ที่เสียชีวิตหลังคลอดลูกเนื่องจากดูแลร่างกาย หรือที่เรียกว่า “อยู่ไฟ” หลังคลอดแบบผิดวิธี เป็นต้น
นายวิชกร วงษ์สุวรรณ อาจารย์แพทย์แผนไทยประยุกต์ อธิบายว่า สตรีนั้นเมื่อตั้งครรภ์จะมีอาการบวมเกิดขึ้น ไม่ว่าจะหน้าบวม มือบวม เท้าบวม ตัวบวม คนโบราณเรียกว่า “ภาวะบวมน้ำ” เมื่อมีน้ำในร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้ระบบของร่างกายระหว่างธาตุไฟ – ลม ผิดปกติไปจึงทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ วิงเวียน ท้องผูก เมื่อสตรีคลอดลูกแล้วร่างกายก็ยังคงบวมอยู่เหมือนเดิม หมอโบราณจึงเปรียบสตรีหลังคลอดเป็นเสมือนชิ้นเนื้อที่เปียกๆ ฉะนั้นหมอตำแยควรทำให้ชิ้นเนื้อที่เปียกชิ้นนี้แห้งเสีย เพื่อรักษาไม่ให้ชิ้นเนื้อเน่า จึงได้นำคุณแม่คลอดใหม่ไปทำการอยู่ไฟ
“วิธีการอยู่ไฟของคนโบราณนั้นเรียกว่าเรือนไฟ ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งๆมีอากาศถ่ายเทที่ดี จะทำการโดยให้คุณแม่หลังคลอดนอนตะแคงบนแพรจะหันท้อง – หลังก็ได้ และนำไม้มะขามแห้งมาใช้ในการก่อไฟโดยการสุมไฟทีละน้อยๆและค่อยเพิ่มไม้ขึ้นแต่ไม่ควรให้ร้อนมากจนเกินไป เพราะหลักการการอยู่ไฟของคุณแม่หลังคลอดนั้นคือการทำให้แห้งก็คือการอยู่ไฟนั่นเอง
และควรดื่มน้ำร้อนเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นอีกทั้งควรดื่มยาต้มเพื่อดับกระหาย โดยสรรพคุณของยาต้มนั้นจะช่วยลดอาการปวดเมื่อยและนำลูกประคบมาประคบตามส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น เต้านมเพราะคุณแม่หลังคลอดน้ำนมจะเริ่มคัดจึงต้องนำลูกประคบมาประคบเพื่อลดอาการตรึงเต้านม แต่ถ้าคุณแม่รู้สึกร้อนขึ้นกว่าเดิมคนโบราณจะนำกะละมังใส่น้ำและนำผ้ามาเช็ดตัวเพื่อผ่อนร้อนแก่คนไข้” คุณวิชกร กล่าว
ผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนไทยรายนี้ อธิบายต่อไปว่า ในแต่ละวันสตรีหลังคลอดจะเข้ากระโจมโดยมีเครื่องยารสร้อน เช่น ขมิ้น ไพร ตะไคร้ เป็นต้น ต้มให้เดือด สตรีหลังคลอดจะนั่งอยู่ในกระโจมประมาณ 10 – 15 นาที ก่อนจะมาทำการ “นั่งถ่าน” โดยมีโต๊ะเจาะรูด้านบนส่วนข้างล่างนำกะลาตาเดียววางไว้ และมีเตาไฟอยู่ใต้กะลาอีกชั้นหนึ่ง
จากนั้นนำผงยาใส่ลงในเตาไฟและนำกะลาวางบนเตา จะมีควันลอยขึ้นมาบนกะลา กล่าวคือมีลมลอยเข้าบริเวณช่องคลอดหรือแผลที่เย็บของสตรีหลังคลอด ซึ่งจะช่วยให้แผลที่เย็บและมดลูกแห้ง เมื่อเสร็จแล้วจะมีหมอตำแยมาคอยดูอาการทุกวันเพื่อผสมยานวดหน้าท้องให้
จากกระแสแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกที่เริ่มกลับมาได้รับความนิยมในปัจจุบัน ทำให้ต้องมีการรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาดั้งเดิมเหล่านี้ให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้สนใจนำไปใช้ได้ถูกต้องและปลอดภัย ซึ่ง ดร.นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า การรวบรวมภูมิปัญญาของหมอพื้นบ้าน เป็นกระบวนการทำงานร่วมกันเพื่อให้ทันเวลากับอายุที่สูงขึ้นของหมอพื้นบ้าน และความครอบคลุมกับจำนวนหมอพื้นบ้านที่มีอยู่ในทุกภูมิภาค
ในการรวบรวมองค์ความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากหมอพื้นบ้าน มาทำการจัดระบบและการบันทึกความรู้ในระบบสารสนเทศ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการคุ้มครองภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนไทยและสุขภาพของคนไทย ซึ่งนอกจากจะเป็นการต่อยอดภูมิปัญญาบรรพบุรุษ และยกระดับหมอพื้นบ้านให้เป็นอาจารย์ด้านการแพทย์แผนไทยแล้ว ยังเตรียมต่อยอดองค์ความรู้ที่ได้นำมาพัฒนาเป็นตำราเรียนมาตรฐาน และบรรจุไว้ในหลักสูตรการสอนทางการแพทย์ สาขาวิชาการแพทย์แผนไทยต่อไปด้วย
“เป้าหมายการทำงานในปีนี้คือการรวบรวมภูมิปัญญาของหมอพื้นบ้านให้ได้ 1,500 คน จากนักศึกษาแพทย์แผนไทยและสถาบันผู้ผลิตแพทย์แผนไทย จำนวน 27 สถาบัน โดยภาพรวมการทำงานร่วมกันแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 คือการรวบรวมองค์ความรู้เชิงปริมาณ ส่วนระยะที่ 2 จะเป็นการวิจัยเชิงลึกต่อยอดจากระยะที่ 1” อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวทิ้งท้าย
บุษยมาศ ซองรัมย์
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี