“ท่าแร่”.....
พื้นที่ซึ่งเป็นดั่งโลโก้ของแวดวง “คนค้าหมา” ดูเหมือนจะเงียบหายไประยะหนึ่ง กระทั่งห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
“บ้านท่าแร่” ก็กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้ง เมื่อมีการสนธิกำลังบุกเข้าทลายโรงฟอกหนังที่ ต.ท่าแร่ อ.เมืองสกลนคร ที่เปิดเป็นแหล่งชำแหละสุนัขเพื่อการค้า และพบซากสัตว์เลี้ยงผู้น่ารักนับร้อยตัว เท่านั้นยังไม่พอยังพบเนื้อสุนัขบรรจุถุงพร้อมรอส่งอีกนับพันกิโลกรัม
อันที่จริงภาพการเข้มงวดจับกุม “ขบวนการค้าสุนัข”ของเจ้าหน้าที่รัฐได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2555ซึ่งในสายตา “คนรักหมา” ก็คงสนับสนุนในเรื่องนี้เพราะมองว่าการ “ชำแหละเนื้อ เถือหนัง” สัตว์ตัวเล็กๆชนิดนี้เป็นเรื่องที่โหดเหี้ยม และน่าสงสาร แต่ในอีกมุมหนึ่งสำหรับ “คนค้าหมา” พวกเขากำลังเดือดร้อน และมีคำถามกลับมาว่า.....
ระหว่างประชาชนกับหมา.....ใครเป็นผู้น่าสงสาร???
เพราะขณะที่คนรักหมากำลังอยู่ในโลกแห่งจินตนาการกับสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงในเวลานี้กลุ่ม “คนค้าหมา” อีกหลายชีวิตกำลังก้มหน้ารับ “ความเดียดฉันท์” จากสังคม เมื่อถูกกล่าวหาว่า “อำมหิต”จนต้องหยุดธุรกิจชั่วคราว รายรับหลายหมื่นบาทต้องมลายหายไป แต่เงินต้นและดอกเบี้ยที่ต้อง “ผ่อน” ค่างวดรถกระบะ ที่ถอยออกมาใช้ทำมาหากินไม่ได้หยุดไปด้วย เงินทองที่สะสมมาก็เริ่มร่อยหรอ รถกำลังจะถูกยึด หนี้สินกำลังเพิ่มพูน.....
ไม่มีใครสนใจ ใคร่ถามว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไร???
อดีตพ่อค้าสุนัขวัยชรารายหนึ่งแห่งบ้านท่าแร่ อ.เมือง จ.สกลนคร ผู้สร้างฐานะจากธุรกิจค้าสุนัข จนส่งเสียเลี้ยงดูลูกๆจนจบปริญญาตรี ย้อนตำนานการค้าสุนัขแห่งบ้านท่าแร่ ให้ฟังว่า จาก“คนกินหมา” ตามวัฒนธรรมการบริโภคที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ก็พัฒนาเป็นผู้ชำแหละขายกินกันเองในกลุ่มชาวท่าแร่ จนราวปี 2545 มีพ่อค้าชาวเวียดนามเข้ามาติดต่อขอซื้อสุนัขจำนวนมาก ทำให้คนท่าแร่หันมาทำธุรกิจตัวนี้มากขึ้น ซึ่งในส่วนของตนนั้นธุรกิจ “รับแลก” สุนัขในลอตแรกผ่านไปด้วยดี
ต่อมาก็มีออเดอร์จากเวียดนามหลั่งไหลเข้ามาจนรับไม่ไหว จนต้องแบ่งออเดอร์ให้แก่ผู้ค้ารายอื่นๆ
หลังจากนั้น ตนก็เริ่มขยายกิจการ และเครือข่าย มีการดาวน์รถกระบะ พร้อมติดตั้งอุปการณ์รับแลกสุนัขครบครัน เมื่อบวกกับค่าน้ำมันและอาหาร 1.3 หมื่นบาทต่อคันต่อเที่ยว ใช้เงินทุนหมุนเวียนเดือนละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท เมื่อหักลบกลบหนี้แล้ว รถรับแลกสุนัขคันหนึ่งจะทำกำไร 5,000-6,000 บาท ต่อการออกตระเวน 3 วัน นับเป็นรายได้ที่ดีมาก ในช่วงนั้นมีรถที่นำสุนัขมาส่งที่ท่าแร่กว่า 3,000 คัน
“บางคนลงทุนเอาโฉนดที่ดินไปจำนองธนาคารเพื่อเอาเงินมาดาวน์รถกระบะ วิ่งตระเวนรับแลกหมา เนื่องจากเห็นเพื่อนบ้านทำแล้วมีรายได้ดี แต่ช่วงนี้เริ่มซบเซาเพราะมาถูกเจ้าหน้าที่กวดขันจับกุม ธุรกิจมันก็ชะงักตรงนี้ถือเป็นปัญหา เพราะใครจะรับผิดชอบชีวิตครอบครัวของพวกเขา เจ้าหน้าที่เหรอ???” อดีตตำนานคนค้าหมาแห่งท่าแร่ ตั้งคำถาม
ขณะที่ “วิกรานต์ ประเทพา” อดีตพ่อค้า “รถแลกหมา” ที่หันมาเปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้าอยู่ใน ต.ท่าแร่ บอกว่า ในมุมมองของคนท่าแร่นั้น การฆ่าและชำแหละเนื้อสุนัขมันกลายมาเป็นวิถีชีวิตของคนที่นี่แล้ว หากให้เขาเลิกทำ ภาครัฐจะเข้าไปส่งเสริมอาชีพใหม่ๆให้หรือไม่ เพราะการเลิกอาชีพหนึ่งไปสู่อีกแบบหนึ่งต้องใช้เวลา และทุน ถ้ารัฐต้องการให้ชาวบ้านเลิก ต้องไม่ใช่มาคอยจับแบบนี้ แต่ควรลงมาดูแลความเป็นอยู่ด้วย
“ช่วงที่ผมออกจับหมามาแลกเงินนั้น เจ้าของสุนัขเป็นผู้แจ้ง และบอกว่าต้องการขายสุนัข พวกผมแทบไม่ต้องออกเร่ อย่างเทศบาลในจังหวัดใหญ่ก็โทร.แจ้งให้ชุดแลกหมาไปจับหมา เพื่อช่วยลดปริมาณหมาจรจัด ปัญหานี้ไม่ใช่ความผิดของคนท่าแร่ เพราะเขาทำเพื่อความอยู่รอด คนที่นี่มองเป็นเรื่องธรรมดา หากให้เลิกต้องไปถามชาวบ้านว่าเขาต้องการหรือไม่ หรือหางานอาชีพอะไรมาชดเชยให้เขา” วิกรานต์ กล่าว
ด้าน “อานนท์”(ขอสงวนนามสกุล) อดีตนักแลกหมาแห่งบ้านท่าแร่ กล่าวว่า ในกลุ่มคนรักสุนัขก็มองว่า “คนท่าแร่” เป็นพวก “อำมหิต” แต่ตนอยากให้มองกลับกันด้วยว่าการฆ่าชำแหละสุกร โค กระบือ หรือเป็ด ไก่ อำมหิตหรือไม่??? เรื่องของคนค้าหมามันมีคำว่า “สัตว์เลี้ยง” เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงทำให้คนท่าแร่ถูกมองว่าโหดร้าย ทั้งๆที่มันเป็นวิถีชีวิตปกติของคนที่นั่น
ขณะที่นายสัตวแพทย์วิสุทธิ์ เอื้อกิ่งเพชร สัตวแพทย์ผู้ชำนาญการ สำนักงานปศุสัตว์ จ.สกลนคร ให้ข้อมูลว่า ปัญหาการแลกและค้าสุนัขยังคงดำรงอยู่ ตราบใดที่ยังมีคนบริโภค ทั้งที่ความจริงเนื้อสุนัขไม่ได้มีคุณท่าทางโภชนาการไปมากกว่าเนื้อสัตว์อื่น แต่ก็ยังมีบางคนบางกลุ่มนิยมกิน ความจริงถ้าจะให้คนค้าหมาเลิกอาชีพนี้ รัฐก็น่าจะมีโครงการอาชีพอื่นไปช่วยพวกเขาด้วย ที่ผ่านมาเคยมีทำลงมาบ้าง แต่พอนานวันเข้าก็ “เงียบ” ไม่เวิร์ก
ส่วน “อดุล ตระกูลมา” เจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาสังคมมิสซังท่าแร่-หนองแสง กล่าวว่า ชาวท่าแร่มองว่ารัฐบาลควรมีความชัดเจนในการกำหนดนโยบายในระยะยาวและให้เวลากับกลุ่มผู้ค้าเหล่านี้ได้มีโอกาสปรับตัวหาอาชีพอื่นก่อน แล้วค่อยวางมาตรการบังคับใช้กฎหมายกับคนกลุ่มนี้ ซึ่งอาจเป็นการหาทางออกแบบ.....
“ช่วยชีวิตหมา ปรานีชีวิตคน”!!!
เพราะคนท่าแร่ไม่ได้ทำอาชีพนี้ทุกคน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรลงพื้นที่ ดูแลเปลี่ยนอาชีพอย่างจริงจัง ไม่ใช่ทำแบบไฟไหม้ฟาง เชื่อว่าถ้าทำได้แบบนี้ก็จะ “ปิดตำนาน” การค้าสุนัขแห่งบ้านท่าแร่ได้
วันนี้ภาพรถปิกอัพที่กระบะด้านข้างสูง มีไม้กระดานรองพาดทำเป็นรถ 2-3 ชั้น ที่มองปุ๊บก็รู้ว่าเป็น “รถหมาแลกถัง” อาจไม่ค่อยมีให้เห็นแล้วที่ “บ้านท่าแร่” แต่ใช่ว่าการลักลอบค้า หรือแลกหมาจะหมดไป เพราะตราบใดที่รัฐยังไม่ดูแลจริงจัง ผู้คนในท่าแร่ยังมีหนี้สิน ต้องดูแลครอบครัวที่อยู่เบื้องหลัง และ “โทษ” ที่เกิดจากการค้าสุนัขไม่ทำให้ “เข็ดหลาบ” ทำให้ ณ วันนี้.....
“บ้านท่าแร่” จึงยังไม่สิ้นเสียงร้องโหยหวนของ “หมา” สัตว์เลี้ยงผู้ซื่อสัตย์และน่ารัก!!!
สุพจน์ สอนสมนึก / สกลนคร
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี