ปัญหา “ขับไล่” ชนเผ่าที่ถูกอ้างว่า “บุกรุก” พื้นที่ป่าหวงห้ามในประเทศไทย โดยเฉพาะกับ “ชาวกะเหรี่ยง” มีมาอย่างยาวนาน และเมื่อปี 2554 ก็เกิดการอพยพโยกย้าย “ชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจาน”จนกลายเป็นข่าวโด่งดังและยังเป็นคดีความในชั้นศาล เมื่อพบว่าไม่ใช่การขับไล่ธรรมดา แต่มีการ “เผา” ไล่รื้อบ้านและฉางข้าวของพวกเขา เพื่อให้ออกมานอกเขตป่าแก่งกระจานที่กำลังถูกเสนอชื่อเป็น “มรดกโลก”
เหตุการณ์ครั้งนั้นลากยาวมาจนถึงวันที่ 17 เมษายน 2557 นายพอระจี รักจงเจริญ หรือ “บิลลี่” แกนนำกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย ที่มีส่วนในการ “ต่อสู้” ในคดีความข้างต้นก็ “หายตัว” ไปอย่างลึกลับ และจนถึงวันนี้เรื่องราวการหายตัวไปของเขาก็ยังไม่มีความกระจ่างชัด
การหายตัวไปของ “บิลลี่” ปรากฏเป็นข่าวโด่งดังต่อเนื่อง โดยมีการอ้างว่าเขาหายตัวหลังจากถูก “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ควบคุมตัว และหลังจากมีการร้องเรียนเรื่อง บิลลี่ หายตัวไป ทาง “ชัยวัฒน์” ก็ออกมายอมรับว่าในวันเวลาดังกล่าวได้คุมตัว บิลลี่ ไปจริง แต่ได้ปล่อยตัวระหว่างทางไปแล้ว อีกทั้งยังอ้างว่าการหายตัวไปเป็นการจัดฉาก เพื่อสร้างกระแสโจมตีเขาในฐานะหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พร้อมกับกล่าวว่า.....
“อีกไม่นาน บิลลี่ คงกลับมาเอง”!?!
ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ วันเวลาผ่านไปนานเกือบครึ่งปี “บิลลี่” ก็ยังไม่กลับมา และยังไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน!?!
ล่าสุดที่ “หมู่บ้านโป่งลึก-บางกลอย” ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ได้มีการจัดกิจกรรม “180 วัน คิดถึงบิลลี่” ขึ้น เพื่อระลึกถึงเขา ซึ่ง “สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์” อาจารย์ประจำวิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และ “ศิลปินปกาเกอะญอ” ชื่อดัง บอกว่า เจตนารมณ์ของการจัดงานครั้งนี้ก็เพื่อขับเคลื่อนงานด้านการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนของ บิลลี่ และกดดันหน่วยงานภาครัฐให้เกิดความสำนึกรับผิดชอบต่อพลเมืองไทยคนหนึ่งที่ “ถูกบังคับ” ให้สูญหาย
“เราจัดงานขึ้นเพราะไม่ต้องการให้สิ่งที่ บิลลี่ พยายามเรียกร้องมาตลอด ทั้งเรื่องสิทธิที่ดินทำกิน สิทธิมนุษยชน และสิทธิของคนกะเหรี่ยง ต้องสูญหายไปพร้อมๆ กับ บิลลี่ ที่ยังไม่กลับมา” ศิลปินปกาเกอะญอ กล่าว
ขณะที่ “นางพิณนภา พฤกษาพรรณ” หรือ “มื่อนอ” ภรรยาของบิลลี่ บอกว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับการหายตัวไปของสามี เจ้าหน้าที่ยังไม่พบร่องรอยหรือหลักฐานที่บ่งบอกว่าเขายังอยู่ หรือเสียชีวิตแล้ว ซึ่งตนและครอบครัว พร้อมลูกๆ ทั้ง 5 คน ยังอยู่ด้วยความหวังว่า บิลลี่ จะมีชีวิตอยู่และกลับมาอยู่กับครอบครัว หรืออย่างน้อยที่สุดให้พบหลักฐานที่บ่งบอกได้ว่าเป็นอย่างไร
“ทุกวันนี้ยังต้องเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง มีความลำบาก เพราะต้องแบกภาระทั้งค่าเล่าเรียน ค่าเดินทาง ต้องทำงานด้วยตัวคนเดียวมาตลอด จึงอยากวิงวอนให้รัฐบาลดูแลสิทธิของชนเผ่าต่างๆ อย่างเท่าเทียม เป็นธรรม และเพิ่มกฎหมายที่ป้องกันไม่ให้เกิดคนหายสาบสูญเช่นนี้อีก” มื่อนอ กล่าว
ด้าน “กมล นวลใย” หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กล่าวว่า ยินดีอำนวยความสะดวกและให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่จะเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการหายไปของ บิลลี่ เพื่อจะได้ไม่มีความหวาดระแวงระหว่างกันเกิดขึ้น และให้เกิดความกระจ่าง ส่วนการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่นั้นต้องพูดคุยและทำความเข้าใจร่วมกับชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ และวางแนวทางที่กฎหมายกำหนด แต่ยืนยันว่าจะดูแลคุณภาพชีวิตของชาวกะเหรี่ยงให้ดี จะไม่ให้มีภัยคุกคามใดๆ เกิดขึ้นกับพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่
ส่วน “ปู่คออี้” ผู้นำจิตวิญญาณชาวกะเหรี่ยง วัย 106 ปี กล่าวว่า หลังผ่านไป 6 เดือนนึกถึงภาพ บิลลี่ ได้ภาพเดียว คือ ตอนที่ บิลลี่ ขี่รถจักรยานยนต์มาลาปู่ ก่อนจะหายตัวไป จำได้ว่าวันนั้นเขาดูร่าเริงมาก ทั้งคำพูดและน้ำเสียงที่แสดงออกมา ตอนนี้กำลังรอฟังเรื่องของ บิลลี่ อีกสักระยะว่าจะมีความคืบหน้าอะไรบ้าง เพราะอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขาที่เป็นเสมือนหลานในไส้ด้วย แต่ถ้าไม่มีอะไรคืบหน้าคงต้องทำใจ
“อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างความชัดเจน ไม่ควรปล่อยให้อึมครึม นอกจากคิดถึงเรื่อง บิลลี่ แล้ว ก็อยากกลับไปอยู่บ้านเดิมที่บางกลอยบน อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นใจด้วย คนอยู่ในป่านั้นตั้งแต่เกิด พอให้มาอยู่ที่ใหม่อย่างนี้ปรับตัวไม่ได้เลย” ผู้นำทางจิตวิญญาณชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจาน กล่าว
ถึงแม้รัฐจะตอบไม่ได้ว่า “บิลลี่” หายไปไหน แต่ชาวกะเหรี่ยงกลุ่มนี้ยังไม่ย่อท้อ ยังมีความหวัง และยังตั้งตารอวันที่ “ผู้นำ” ของเขาจะกลับมา และเมื่อยังพึ่งแนวทางของภาครัฐไม่ได้ พวกเขาจึงต้องพึ่ง “พิธีกรรม”
ชาวกะเหรี่ยงซึ่งเป็นเพื่อนพ้อง และพี่น้องของ บิลลี่ ได้จัดพิธีเรียกขวัญ รวมทั้งนำสัญลักษณ์ของชาวกะเหรี่ยงที่เรียกว่า “คังดง” มาติดตรงราวสะพานแขวนข้ามแม่น้ำเพชรบุรี ระหว่างบ้านโป่งลึก-บางกลอย ซึ่งเป็นเส้นทางสัญจรของคนกะเหรี่ยงในป่าแก่งกระจาน เพื่อเรียกขวัญหรือเรียกวิญาณของบุคคลที่สูญหายหรือป่วยไข้ให้กลับมาบ้าน โดย “คังดง” เป็นตัวแทนของ “ผีเสื้อ” ที่มีหลากสี เหมือนความหลากหลายของวัฒนธรรมกะเหรี่ยงที่สามารถเชื่อมร้อยกับวัฒนธรรมทั่วโลก
“คังดง” ยังเป็นสัญลักษณ์ของใยแมงมุม ซึ่งตามความเชื่อของชาวกะเหรี่ยงมีไว้สำหรับประกอบพิธีกรรมในงานบุญต่างๆ เพื่อเรียกขวัญ หรือวิญญาณให้มาอยู่ในคังดง มักติดเอาไว้ตามบ้านเพื่อเป็นเครื่องหมายนำทางให้ขวัญหรือวิญญาณกลับบ้าน “คังดง” ทำจากเชือกไหมพรมหลายสี ม้วนพันไว้บนไม้รูปกากบาทสี่แฉก หรือหกแฉก แล้วทำเป็นตุ้มสำหรับแขวน ซึ่งนอกจากพวกเขาจะทำมันขึ้นมาเพื่อเรียกขวัญ บิลลี่ ให้กลับบ้านแล้ว
“คังดง” ยังเป็นการให้กำลังใจชาวบ้านบางกลอย ซึ่งถูกอพยพโยกย้ายจากบางกลอยบนลงมาที่หมู่บ้านโป่งลึกในปัจจุบัน เพื่อหวังให้ทุกคนมีจิตใจที่สงบขึ้น.....
แต่แฝงไปด้วย “พลังแห่งการต่อสู้” อีกครั้งหนึ่ง!!!
บุษยมาศ ซองรัมย์
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี