เหลืออีกเพียงเดือนเศษเท่านั้น ช่วงเวลาที่ใครหลายคนรอคอย โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่ทำงานไกลบ้าน อย่างเทศกาลส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ก็จะมาถึง เพราะจะได้เดินทางกลับภูมิลำเนา และเฉลิมฉลองกับครอบครัวญาติพี่น้อง หลังจากที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งปี
ทว่าเมื่อพูดถึงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ รวมถึงเทศกาลปีใหม่ไทยอย่างสงกรานต์ อันเป็นช่วงเวลาที่จะได้หยุดพักผ่อนกันยาวๆ สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นทุกปี จนกลายเป็นความชินชาของสังคมไทยไปแล้ว คือเรื่องของ “อุบัติเหตุ” ที่นำมาซึ่งความสูญเสีย ทั้งบาดเจ็บ พิการ และเสียชีวิต
ดังวลีคุ้นหู “7 วันอันตราย” ที่ตายกันนับร้อย เจ็บกันนับพันทุกปี!!!
ไม่เพียงแต่ช่วงเทศกาลเท่านั้น..ข้อมูลจาก ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม ในหัวข้อ “สถิติอุบัติเหตุแยกตามภาคการขนส่ง” พบว่า ปี 2556 เพียงปีเดียว มีอุบัติเหตุทางถนนเกิดขึ้น61,323 ครั้ง เสียชีวิต 7,364 ศพ บาดเจ็บ 20,906 ราย
ไม่ต้องแปลกใจ..เหตุใดประเทศไทยถึงติดอันดับ “ตายเพราะอุบัติเหตุ” เป็น “อันดับ 3” ของโลก!!!
นายอรวิทย์ เหมะจุฑา ประธานคณะอนุกรรมการวิชาการสาขาวิศวกรรมจราจรและขนส่ง วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) กล่าวในงานแถลงข่าว “ลดเสี่ยงชีวิตคนไทย..พัฒนามาตรฐานความปลอดภัยในประเทศนี้” 14 พ.ย. 2557 ณ อาคาร วสท. ซอยรามคำแหง 39 กทม. ระบุว่า สิ่งหนึ่งที่พบเห็นได้ทุกครั้งเมื่อรวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาล
นั่นคือ..มักเกิดขึ้น “ซ้ำๆ ซากๆ” และเกิดบน “เส้นทางเดิมๆ”!!!
ปธ.อนุฯ สาขาวิศวกรรมจราจรและขนส่ง วสท. อธิบายต่อไปว่า หากเป็นช่วง 7 วันอันตรายในเทศกาลปีใหม่หรือสงกรานต์ วันแรกกับวันสุดท้ายอุบัติเหตุมักเกิดบนถนนสายหลัก เพราะมีการเดินทางกลับไปยังภูมิลำเนาและกลับมายังที่ทำงาน ส่วนวันที่อยู่ตรงกลางอุบัติเหตุมักเกิดขึ้นบนถนนสายรอง เพราะเป็นวันที่ประชาชนเฉลิมฉลองกันอยู่ในละแวกบ้าน เป็นต้น อย่างไรก็ตามพบว่าถนนสายรองจะเกิดอุบัติเหตุมากที่สุด จึงอยากให้ภาครัฐตรวจตราอย่างเข้มงวดมากขึ้น พร้อมกับให้ความรู้กับประชาชนเพื่อให้เพิ่มความระมัดระวังด้วย
“ถ้าเราดูภาพช่วงเทศกาล วันแรกกับวันสุดท้ายจะเป็นการเดินทางบนถนนสายหลัก ส่วนวันเทศกาลจริงๆ จะอยู่ในพื้นที่ชุมชนหรือในถนนสายรอง ทางศูนย์ความปลอดภัยทางถนนเขาสังเกตพฤติกรรมมาหลายปี ก็จะเป็นในลักษณะนี้เหมือนกัน ทำยังไงจึงจะให้ชุมชนเขาดูแลกันเอง เพื่อนฝูงเมาแล้วอย่าขับ
คือต้องยอมรับว่าในชุมชนก็มีเลี้ยงสังสรรค์กัน หรือในต่างจังหวัดเขาจะใช้มอเตอร์ไซค์เป็นหลัก และไม่สวมหมวกกันน็อกด้วย ดังก็จะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุค่อนข้างบ่อย ดังนั้นที่ควรทำจริงๆ ในวันที่เป็นเทศกาล ต้องใช้วิธีการเข้าถึงประชาชน ในเรื่องของการให้เตือนกันและกัน” นายอรวิทย์ กล่าว
นอกจากอุบัติเหตุทางถนนแล้ว “ระบบราง” หรือ “รถไฟ” ก็เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งไม่แพ้กัน ในปี 2556 ที่ผ่านมา
เกิดอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับรถไฟ 455 ครั้ง เสียชีวิต 89 ศพ บาดเจ็บ 222 ราย ซึ่งสาเหตุหลักมักมาจาก “จุดตัด” ระหว่างถนนกับทางรถไฟ ที่แม้กระทั่งจุดตัดที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) อนุญาต จำนวน 775 จุด ก็ยังขาดแคลนเครื่องกั้น สัญญาณไฟและป้ายเตือน ยังไม่นับ “จุดตัดเถื่อน” ที่ประชาชนทำขึ้นเอง อีก 584 จุด
อันตรายทั้งนั้น!!!
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย แสดงความห่วงอุบัติเหตุทางรถไฟ ซึ่งที่ผ่านมาเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทั้งๆ ที่ปัจจุบัน ระบบรถไฟไทยยังเป็นเพียง “ทางเดี่ยว” ที่รถไฟยังทำความเร็วได้ไม่มาก ถึงร้อยละ 94 ของทางรถไฟทั่วประเทศ ขณะที่รางแบบ “ทางคู่” มีเพียงร้อยละ 6 เท่านั้น ดังนั้นหากไทยจะทำระบบรางรถไฟเป็นแบบทางคู่ทั่วประเทศ รวมไปถึง “รถไฟความเร็วสูง” ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ในเวลานั้นรถไฟไทยจะทำความเร็วได้สูงขึ้น นั่นเท่ากับความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุจะเพิ่มขึ้น หากไม่มีมาตรการด้านความปลอดภัยมารองรับด้วย
“ถ้าบอกประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้า จะเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ จะแก้ไขเรื่องการคมนาคมขนส่ง เรามุ่งไปที่การพัฒนาโปรเจกท์ต่างๆ แต่มิได้ให้ความสนใจเรื่องความปลอดภัยเลย ผมว่าน่าเป็นห่วง” นายก วสท. ให้ความเห็น
คำถามต่อมา..แล้วจะลดอุบัติเหตุได้อย่างไร? ไม่ว่าจะเป็น “ทางถนน” หรือ “ทางรถไฟ” !!!
ระยะสั้น..นายก วสท. มองว่า องค์กรปกครองส่วนถิ่น (อปท.) ต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เช่น กรณีจุดตัดทางรถไฟ ที่พบว่ามีจุดตัดที่ประชาชนทำขึ้นเองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากการรถไฟแห่งประเทศไทยมากกว่า 500 จุด ซึ่งจุดตัดเหล่านี้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอย่างมาก อย่างไรก็ตาม หากพื้นที่ใดจำเป็นต้องมีจุดตัดทางรถไฟจริงๆ ก็ขอให้ อปท. หารือกับการรถไฟฯ เพื่อวางแนวทางร่วมกัน หรืออุบัติเหตุทางถนนที่มักเกิดบนถนนสายรอง อปท. ก็ต้องหมั่นให้ความรู้กับลูกบ้านในพื้นที่อยู่เสมอ เพื่อให้ตระหนักถึงความปลอดภัยด้วย
ระยะยาว..ควรมีหน่วยงานกลาง ทำหน้าที่ตรวจสอบความปลอดภัยทั้งระบบอย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นทางถนน ทางราง (รถไฟ) และทางอื่นๆ ซึ่งควรเป็น “องค์กรอิสระ” ไม่อยู่ในสังกัดกระทรวงใดๆ โดยตรง แต่งบประมาณจะได้มาจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคม เช่น กระทรวงคมนาคม กรมการขนส่งทางบก ฯลฯ องค์กรนี้จะทำหน้าที่วิเคราะห์ ศึกษาวิจัย และตรวจสอบความปลอดภัยตั้งแต่เริ่มแผนก่อสร้าง ขณะก่อสร้าง เมื่อก่อสร้างเสร็จ เมื่อเปิดให้ใช้งาน และเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น
ทั้งนี้ นายก วสท. กล่าวว่า สำหรับหน่วยงานด้านคมนาคม ลำพังเพียงการทำหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเดินทาง ทั้งการจัดหาพาหนะให้เพียงพอ หรือบริหารการใช้เส้นทางต่างๆ ก็ถือว่าหนักมากแล้ว โดยเฉพาะหากเป็นช่วงเทศกาลหยุดยาวอย่างปีใหม่หรือสงกรานต์ ดังนั้นการตั้งหน่วยงานอิสระมาวิเคราะห์เรื่องอุบัติเหตุเป็นการเฉพาะด้าน ก็จะช่วยอุดช่องว่างนี้ได้
“เรื่องนี้สำคัญและประสบความสำเร็จมาแล้วทั่วโลก ประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีหน่วยงานกลางที่ได้งบประมาณมาจากหน่วยงานด้านคมนาคม ทำหน้าที่อย่างเดียวคือตรวจสอบความปลอดภัยทั้งระบบ คล้ายๆ กับระบบความปลอดภัย
สายการบิน หรือท่าอากาศยานทั่วโลก
ตรงนี้จะทำให้หน่วยงานนี้เป็นอิสระ และทำงานคล่องตัว มิได้ให้ความปลอดภัยนั้นไปอยู่กับหน่วยงานที่ทำการดูแลถนน หรือระบบรางเพียงอย่างเดียว อันนี้จำเป็นที่รัฐบาลต้องผลักดันให้เกิดหน่วยงานตรงนี้ เพราะเขาทำหน้าที่เดียว และเป็นกลางจริงๆ และไม่ใช่คนบริหารจัดการ ฉะนั้นสามารถทำงานวิจัยได้เต็มที่ โดยไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน” ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าวทิ้งท้าย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี