หากยังจำกันได้ เมื่อปลายปี 2551 มีคดีที่ถูกพูดถึงในสังคมมาก นั่นคือ กรณี นายสุรัตน์ มณีนพรัตน์สุดา พนักงานเก็บขยะสังกัดกรุงเทพมหานคร ถูกจับกุมในข้อหาขายแผ่นวีดีโอซีดีภาพยนตร์โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 (มาตรา 38 วรรค 1) ที่ห้ามเป็นผู้จำหน่ายหรือให้เช่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้มีบทกำหนดโทษไว้ด้วยใน มาตรา 79
มีโทษปรับตั้งแต่ “สองแสน” ถึง “หนึ่งล้าน” บาท!!!
ล่าสุด 13 พ.ย. 2557 ศาลฎีกามีคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.3060/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยรายนี้ ยืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ลงโทษปรับนายสุรัตน์ เป็นจำนวนเงิน 133,400 บาท แต่จำเลยไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ จึงต้องลงโทษกักขังแทนค่าปรับ เป็นเวลาไม่เกิน 1 ปี
จนกระทั่งมีผู้ใจบุญนำเงินมาจ่ายค่าปรับ หนุ่มเก็บขยะรายนี้จึงได้รับ “อิสรภาพ”!!!
แม้ทุกอย่างจะจบลงด้วยดี แต่กรณีนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งกระบวนการยุติธรรมถูกวิพากษ์วิจารณ์ เพราะที่ผ่านมา หลายคดีที่เกิดขึ้นและจำเลยเป็นเพียงคนธรรมดาๆ โดยเฉพาะเป็นคนยากจนไม่มีปากเสียง มักจะจบลงด้วยการต้องรับโทษ และมักเป็นโทษสถานหนักเสมอ ในทางกลับกัน หากเป็นผู้ต้องหาที่เป็นคนมีชื่อเสียงในสังคม มักจะได้รับการอำนวยความสะดวกหลายอย่าง ทั้งได้ประกันตัวบ้าง หรือได้รับโทษสถานเบาบ้าง
ดังที่มีผู้เปรียบเปรยว่า..“คนรวยขับรถชนคนตายกลับรอดคดี แต่คนจนแค่เก็บแผ่นซีดีเก่ามาขายก็ติดคุก”!!!
นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ชี้แจงข้อเท็จจริงในคดีนี้ เมื่อ 19 พ.ย. 2557 ที่ผ่านมา ผ่านแถลงการณ์ของสภาทนายความ ฉบับที่ 17/2557 เรื่องความผิดตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 ไว้เป็นสองส่วน ดังนี้
ส่วนแรก..ศาลได้ตัดสินไปตามพยานหลักฐาน และข้อกฎหมายที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ตามหลักนิติธรรมทุกประการแล้ว ขณะเดียวกัน ประเทศไทยใช้ระบบกฎหมายแบบลายลักษณ์อักษร (Civil Law) ที่ยึดหลักเกณฑ์สำคัญประการหนึ่งว่า “บุคคลจะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อให้พ้นจากความผิดไม่ได้” แม้ว่าในความเป็นจริง คนคนหนึ่ง อาจจะไม่รู้กฎหมายนั้นเลยก็ตาม
เมื่อยึดหลักนี้..ข้อแก้ต่างของจำเลยที่ไม่รู้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิด ศาลจึงไม่อาจรับฟังได้!!!
แต่ใน ส่วนที่สอง..นั่นอาจถือได้ว่าเป็นปัญหาของกฎหมายฉบับนี้ นายกสภาทนายความฯ ตั้งข้อสังเกตว่า พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 ในส่วนของความผิดและบทลงโทษ กรณีการเป็นผู้จำหน่ายหรือให้เช่านั้น เจตนารมณ์จริงๆ ก็เพื่อต้องการปราบปรามผู้ค้าสื่อที่ละเมิดลิขสิทธิ์ประเภท “รายใหญ่” ที่มีผลกำไรมหาศาล
เพราะที่ผ่านมา ประเทศไทยถูกกดดันจาก “กลุ่มมหาอำนาจชาติตะวันตก” ที่ทำการ “ขึ้นบัญชีดำ” ระบุว่าประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีกฎหมายดังกล่าวออกมา จึงได้กำหนดบทลงโทษค่อนข้างรุนแรง นอกจากปรับตั้งแต่ 200,000-1,000,000 บาทแล้ว ยังให้ปรับเพิ่มไม่เกินวันละ 10,000 บาท หากพบว่ามีพฤติกรรมฝ่าฝืนอีก
แม้มี “เจตนาดี” แต่เอาเข้าจริงแล้ว..คนเล็กคนน้อยที่ไม่ได้ตั้งใจทำผิด กลับต้องถูก “ลูกหลง” ไปด้วย!!!
“การเพิ่มบทลงโทษขั้นต่ำ คือปรับตั้งแต่สองแสนถึงหนึ่งล้านบาท ทำไปเพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากรัฐบาลต่างประเทศในขณะนั้น และในปัจจุบันด้วยหรือเปล่า? ที่ขึ้นบัญชีประเทศไทย จับตามองว่าเป็นประเทศที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา อยู่ในกลุ่มมากที่สุด ประเทศคู่ค้าที่สำคัญที่เอ่ยนามได้ ก็คือสหรัฐอเมริกา เขาลิสต์เรามานานแล้ว แล้วก็เป็นความพยายามของทุกรัฐบาล ที่พยายามจะบอกว่าไทยได้ออกกฎหมายเพื่อปราบปรามอย่างเข้มงวดแล้ว นี่คือที่มาของการเพิ่มโทษ
แล้วก็เป็นความโชคร้ายของคุณสุรัตน์ ที่มาเจอกฎหมายนี้พอดี ความจริงเจตนารมณ์กฎหมายฉบับนี้ ต้องการที่จะปราบปรามผู้ค้า มากกว่าผู้ที่ไปคัดเลือกหรือคัดแยกเก็บขยะมาขาย เพียงซีดีไม่กี่แผ่นที่เขาทิ้งแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัว สิ่งที่สภาทนายความเห็น คือประเด็นที่เกี่ยวกับกฎหมายที่ร่างหรือเสนอมาเพื่อเอาใจต่างประเทศ ควรที่จะต้องมีการพิจารณาแก้ไข โดยเฉพาะในปัจจุบันที่บอกว่าจะปรับปรุงกฎหมาย มันควรจะต้องแยกแยะให้ได้ เพราะผู้ประกอบการที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามีอยู่มากมาย แต่เราก็จับไม่ได้” นายกสภาทนายความฯ กล่าว
ด้วยเหตุนี้ นายเดชอุดมเสนอว่า เบื้องต้นอยากให้แก้ไขในส่วนของโทษ โดยไม่ต้องกำหนด “อัตราโทษต่ำสุด” เพื่อให้ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจได้มากขึ้น เช่น กรณีของหนุ่มเก็บขยะรายนี้ ด้วยความที่กำหนดโทษ
ขั้นต่ำไว้คือ 200,000 บาท ตามหลักกฎหมายแล้ว “ศาลไม่อาจลงโทษต่ำกว่าหรือเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดได้”
ดังนั้นแม้ศาลจะเห็นใจ แต่ตามกฎหมายย่อมตัดสินลดได้เพียงอัตราโทษต่ำสุด คือ 200,000 บาทเท่านั้น
จากนั้นเมื่อหาเหตุอื่นๆ เพื่อบรรเทาโทษ เช่น จำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน หรือกระทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือจำเลยให้การรับสารภาพ ฯลฯ มาเป็นบรรเทาโทษ จึงจบลงด้วยการปรับเป็นเงิน 133,400 บาท แต่หากไม่กำหนดโทษต่ำสุดไว้ โดยกำหนดเฉพาะโทษสูงสุด เช่นจาก “ปรับตั้งแต่สองแสนถึงหนึ่งล้านบาท” ก็เปลี่ยนเป็น “ปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท” จะทำให้ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจลงโทษได้ยืดหยุ่น สมกับเจตนาของจำเลยแต่ละรายมากขึ้น
“เอาเฉพาะหน้านะครับ ลดโทษขั้นต่ำจากสักสองแสนเหลือแค่ห้าพันบาท ทั้งนี้อยู่ในดุลยพินิจของศาล ก็พอแล้ว แค่นั้นเอง ส่วนผู้ที่ประกอบการค้าอย่างทุจริต เรียกว่าขายกันเป็นล่ำเป็นสัน ท่านก็ลงโทษไปจนถึงล้าน คือปรับไม่เกินหนึ่งล้านก็ได้ ไม่ต้องกำหนดโทษขั้นต่ำ ก็จบแล้ว ก็ให้ศาลท่านใช้ดุลยพินิจไป แต่นี่เขียนกฎหมายไปกั๊กไว้ ศาลก็ลงได้แค่สองแสนแค่นั้นเอง นี่คือการเอาใจต่างชาติ เราบอกว่าออกกฎหมายมาแข็งแรงเลย แต่ดาบอันนี้มันไปฟันคอคนยากคนจน มันไม่ได้ไปฟันคอพวก
ที่มีอาชีพละเมิดลิขสิทธิ์”
นายเดชอุดมฝากทิ้งท้าย และกล่าวเพิ่มเติมว่า ในระยะยาว นอกจากพ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 แล้ว ยังมีกฎหมายอีกหลายฉบับที่ต้องแก้ไข เช่น กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค กฎหมายวิธีพิจารณาความ การรับรองพยานหลักฐาน ที่ต้องทำให้โปร่งใสขึ้น หรือการที่ให้จำเลยมีระยะเวลาเตรียมตัวในการหาพยานหลักฐานมาต่อสู้คดี รวมทั้งกฎหมายสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ศาลนั้นทำหน้าที่ได้ถูกต้อง..ตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว!!!
แต่เพราะกฎหมายเขียนมาเช่นนี้เอง..เรื่องรันทดจึงเกิดขึ้น!!!
ต้อง “ปฏิรูป” โดยด่วน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี