ช่วงสายของวันหนึ่งที่ “มะขามป้อมอาร์ตสเปซ” อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ “ครูสมจิต ผอมเซ่ง” อาจารย์ชีววิทยา โรงเรียนมหาวชิราวุธ จ.สงขลา พูดตอนหนึ่งว่า “มากกว่า 20 ปีในอาชีพครู มีบางอย่างที่เคยมองข้ามไป”.....
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่อ้างถึง คือ “วิธีการสอน” เพราะในอดีตเธอเคยมองว่าความปรารถนาดีต่อศิษย์ คือ ความรู้ที่อัดแน่นในชั้นเรียน มาตรฐานการประเมินผล รอบคอบกับการตรวจการบ้าน ฯลฯ
“ที่ผ่านมาเรามองแค่เรื่องความรู้ แต่ไม่เคยสื่อสารกับเด็ก ไม่เคยสอนวิธีคิด ครูรู้ว่า 1+1 = 2 ดังนั้นต้องบอกให้เด็กรู้แบบเรา
ให้ได้ พยายามออกข้อสอบหลายแบบ พอเด็กสอบตกจะให้กลับไปทบทวนใหม่และสอบซ่อม แต่เอาเข้าจริงคำตอบไม่ได้มีแค่คำตอบเดียว เหมือนการเป็นคนดีคนเก่ง ไม่ได้เจาะจงแค่ต้องเป็นแบบใดแบบหนึ่ง เรื่องเดียวกันถ้าตั้งสมมุติฐานต่าง ผลลัพธ์จะต่างออกไป ครูเองก็ไม่ได้ถูกทุกเรื่อง”
“สังเกตเด็กนักเรียนถ้าครูบอกให้อ่านหนังสือเพื่อมากาข้อสอบ จะรู้สึกเฉยๆ แต่ถ้าบอกจะสอบแบบเติมคำหรือทำเป็นโครงงานจะไม่ชอบ เพราะต้องคิดมากกว่า พฤติกรรมเหล่านี้เรามีส่วนรับผิดชอบด้วย” ครูสมจิต ตั้งข้อสังเกต
ความเข้าใจระหว่าง “ผู้สอน-คนเรียน” ถูกแฝงไปกับทักษะการละครตลอด 4 วัน ใน “ค่ายต่อยอดครูละครสร้างปัญญา
ครั้งที่ 2” ซึ่งมูลนิธิสื่อชาวบ้าน(มะขามป้อม) ต่อยอดจากค่ายแรกเมื่อปีก่อน เติมเต็มจากแนวทางสร้างทักษะทางปัญญาแบบโครงการ “ละครสะท้อนปัญญา” โดยกลุ่มมะขามป้อมและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) เลือกใช้ “ละครชุมชน” ที่เคยใช้กับนักเรียนนักศึกษามาแล้วเป็นเครื่องมือฝึกทักษะ
“พฤหัส พหลกุลบุตร” ผู้จัดการโครงการละครสะท้อนปัญญา มองว่า การขยายขอบเขตทำกิจกรรม จากกลุ่มเยาวชนสู่กลุ่มครูเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงกันในเรื่องความสร้างสรรค์ เพราะทุกคนรู้ดีว่าการเรียนไม่ได้มีแค่การบอกและจดจำ แนวคิดของศิลปะที่แทรกในกระบวนการละครจึงเปิดโอกาสให้ผู้เรียน-ผู้สอน สื่อสารระหว่างกัน เพราะละครหนึ่งเรื่องล้วนผ่านการคิด วิเคราะห์ และวางแผน นอกจากนี้ยังช่วยเปลี่ยนทัศนคติ โดยเฉพาะความคิดที่ว่าทุกคนล้วนมีศักยภาพ มีความชอบ ความสนใจที่แตกต่าง วิธีการของครูจึงต้องเปลี่ยน ไม่ใช่สั่งให้ทำอีกต่อไป แต่ต้องกระตุ้นให้คิดและค้นหาความถนัดร่วมกัน
ด้าน “ศุภิญดา วันล่ะ” ครูโรงเรียนกาวิละอนุกูล จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีประสบการณ์กับกลุ่มนักเรียนบกพร่องทางสติปัญญา ที่ในอดีตเคยมองการแสดงละครเป็นแค่เรื่องบันเทิง แต่เมื่อร่วมกิจกรรมก็ได้ค้นพบแนวทางที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้เด็กนักเรียนได้สะท้อนความเป็นตัวเอง จากการพูด ร้องเพลง การแสดงท่าทางต่างๆ เป็นแนวทางใหม่ๆ ที่จะดึงความสนใจ และยืดเวลาการเรียนให้นานขึ้น
“ละครที่เด็กเล่าออกมา สะท้อนตัวตนของเขา ทำให้เรารู้จักเขามากกว่าเดิม ได้เห็นความกังวล ความดีใจ เป็นความท้าทายของพวกเขาที่อยากจะทำให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองชอบ” เธอบอก
ด้านแพทย์หญิง(พญ.) ปาริชาต วงศ์เสนา หรือ “หมอน้อย” ประธานหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี สะท้อนประสบการณ์ลงพื้นที่กับนักศึกษาแพทย์ และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) โดยใช้เครื่องมือละครว่า ละครช่วยเปลี่ยนภาษายากๆ ทางการแพทย์ไปสู่ชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านกล้าซักถามอาการของโรค กล้าเล่าภูมิหลังของตัวเองที่ส่งผลต่อสุขภาพ การสื่อสารที่ว่านี้ช่วยให้แพทย์ทำงานง่ายขึ้น และตรงเป้าปัญหามากขึ้น
“ละครคือเครื่องมือที่ไปสื่อสารกับชุมชน แต่ไม่ใช่แค่แสดงบทบาท เช่น จะเล่นเป็นคนมีโรคมะเร็ง ต้องเข้าใจความทุกข์ของคนที่เป็นโรคจริงๆ ให้ได้ ต้องเข้าใจความกลัวที่เขามี สิ่งเหล่านี้ได้จากการซักถาม สังเกต แพทย์ก็ใช้เวลานี้สื่อสารเรื่อง
ที่เกี่ยวข้อง และสำรวจไปในตัวว่ามีอะไรที่เป็นปัจจัยต่อสุขภาพ”
“หมอน้อย” นิยามถึงทักษะการละครที่นำไปสร้างสรรค์ได้อีกรูปแบบหนึ่ง ว่า มันคือการรู้ “โลก” ของคนไข้ รู้มิติมากกว่าจะสนใจว่าเขาเป็น “โรค” อะไร ทัศนคติเหล่านี้ ได้มาจากการทำงานร่วมกัน ละครเป็นเครื่องมือที่ทำให้คนทำงานได้เห็นมิติของผู้รับการรักษา ตัวละครก็พัฒนาให้มีมากกว่าความบันเทิง เราทำให้ละเอียดขึ้นได้ สร้างมิติมากขึ้นเพื่อเป้าหมายร่วมกัน คือ การดูแลสุขภาพ
กระบวนการละครจึงเสมือนเครื่องมือสื่อสารและสะพานเชื่อมความคิดระหว่างกัน เป็นทัศนคติที่เปิดกว้าง และให้โอกาสกับทุกคนต่างร่วมขีดเขียนในแบบที่ต้องการ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี