ในยุคสังคมข่าวสารล้นทะลัก เอะอะก็ Like เอะอะก็แชร์ จนบางครั้งข่าวสารธรรมดาก็กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์
เล่นเอา “สื่อมวลชน” ต้องหยิบมานำเสนอ เพื่อไม่ให้ตกเทรนด์ และหวัง “ขายข่าว” จนหลงลืม “ตรวจสอบ” แหล่งที่มา ซึ่งใน “ยุคดิจิตอล” ว่ากันแบบไม่เข้าข้างพวกเดียวกัน ก็ยอมรับว่าบางทีสื่อก็ทำงานมักง่าย จนประชาชนเห็นคุณค่าน้อยลงไป และกลายเป็นที่มาของ.....
“เพจดักควาย”!!!
ที่เกิดจาก “มือมืด” กลุ่มหนึ่งในโลกโซเชียลมีเดีย สร้างเพจลวงขึ้นมาหวัง “ดัดหลัง” สื่อ เมื่อเหยื่อติด “กับดัก” หยิบข่าวไปเล่นก็ถูกคนกลุ่มนี้ “ตลบหลัง” ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็น “กระจกเงา”สะท้อนให้เห็นถึงการทำงาน และ “ศรัทธา” ของประชาชนที่มีต่อสื่อได้ในระดับหนึ่ง
“กรณีเพจดักควายถือเป็นความผิดพลาดจริงๆ ที่สื่อไม่ตรวจสอบข้อมูล ทุกวันนี้สื่อทำข่าวง่ายเกินไป ไปเน้นการดึงมาจากเนต แล้วใช้การแชร์ต่อๆ กันไป เพื่อเพิ่มเรตติ้งเมื่อไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ทำให้โดนหลอก และเมื่อใช้วิธีที่ไม่ต่างจากชาวเนต ทั้งวิธีการและเนื้อหาที่สื่อไม่ได้มีลึกกว่า ก็ยิ่งทำให้ความน่าเชื่อถือลดลงไป” ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิจัยชำนาญการสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ(สวส.) ให้ความเห็น
“ธาม” กล่าวอีกว่า กรณี “เพจดักควาย” ยังสะท้อนถึงการทำงานของสื่อที่ส่งผลให้ประชาชน “ศรัทธา” น้อยลงไปด้วย ซึ่งนอกเหนือจากการไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว เรื่องของ “ประเด็น” ก็มีปัญหา เพราะทุกวันนี้สื่อเสนอข่าวตามใจกระแสของ “ชาวเนต” มากเกินไป ทำให้ข่าวสารในโลกโซเชียลมีเดีย มันซ้ำๆ กันไปหมด ที่สำคัญข่าวในสื่อออนไลน์เห็นหลังชาวเนตแชร์ไปแล้ว มัน “ช้า” กว่าข่าวของชาวเนตเยอะ
“ความจริงสื่อต้องอยู่ในฐานะผู้กำหนดวาระข่าวสาร แต่สื่อไม่ทำแล้ว วันนี้สื่อกลายเป็นเหมือนสุนัขที่เดินตามอย่างเดียว วันนี้ข่าวที่ดังๆ ไม่ได้มาจากที่สื่อทำ กลับมาจากการแชร์ของชาวเนต แล้วสื่อไปนำมาแชร์ต่อ เรียกว่าแชร์จนช้ำ”
นักวิชาการจาก สวส.กล่าว
“ธาม” เสนอแนะว่า ทุกวันนี้ประชาชน “ไม่แคร์สื่อ” เพราะรู้สึกว่าเขามีอำนาจ หรือสามารถพูดเรื่องนั้นๆ ได้ด้วยตนเอง เพราะข้อมูลอยู่ในมือ เขาคอนโทรลมันได้โดยไม่ต้องพึ่งสื่อ ก่อนหน้านี้สื่อ คือ ฐานันดรที่ 4 แต่ปัจจุบันมันมีการพูดถึง “ฐานันดรที่ 5” ซึ่งหมายถึง “นักข่าวพลเมือง” ดังนั้นสื่อต้องปรับตัวให้ได้ในยุคสื่อดิจิตอล โดยต้องทำงานร่วมกับฐานันดร 5 ให้ได้
“สื่อกำลังถูกท้าทายอย่างหนัก ไม่ใช่หมาเฝ้าบ้านแล้วเพราะประชาชนรู้สึกว่าเขาเข้ามาทำแทนแล้ว สื่อถูกลดบทบาทลง ซึ่งเกิดจากการปฏิวัติทางเทคโนโลยี ดังนั้นการที่สื่อจะอยู่รอดได้ในยุคใหม่ มันต้องทำข่าวแบบฝังตัว เจาะลึกในประเด็นนั้นอย่างเข้มข้น ต้องทำข่าวแบบเชิงเดี่ยว ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ที่น่าจะช่วยให้สื่ออยู่รอดได้ การนำข่าวจากโลกออนไลน์มาเล่นยังทำได้ แต่ต้องแตกต่าง ถูกต้อง แม่นยำ” ธาม กล่าว
ด้าน “มานะ ตรีรยาภิวัฒน์” รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ปรากฏการณ์ “เพจดักควาย” เกิดขึ้นทั่วโลก เพราะเวลานี้เป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่าน “ภูมิทัศน์สื่อ” คือ จากเมื่อก่อน “ผู้กำหนดวาระข่าวสาร” คือ สื่อ แต่ยุคนี้ประชาชนกำหนดวาระข่าวสารเองได้ผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่งข้อมูลบนโลกออนไลน์มีทั้งจริง และปั้นแต่งขึ้น เมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิตอลผู้คนก็เล่นสนุกกับมันได้ง่ายขึ้น จึงเป็นการง่ายที่สื่อจะ “หลงกล”
“เดิมสื่อเสนอข่าวสารออกไป ประชาชนเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย หรือมองว่าข้อมูลไม่แน่นพอ ก็ไม่มีเครื่องมือที่ใช้เป็นเสียงสะท้อนกลับ แต่ทุกวันนี้ถ้าไม่เชื่อ หรือมีข้อมูลก็ลงผ่านโลกออนไลน์ที่กระจายได้เร็ว ในยุคใหม่จึงกลายเป็นสื่อถูกตรวจสอบจากโลกออนไลน์มากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพื่อสื่อจะได้ระมัดระวังมากขึ้น” มานะ กล่าว
ขณะที่ “มานพ ทิพย์โอสถ” อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ยอมรับว่า ช่วง 10 ปีหลังมานี้สื่อถูกตั้งข้อสงสัยถึงความน่าเชื่อถือมากขึ้น ซึ่งสาเหตุมาจาก 1.คุณภาพของสื่อไม่ได้พัฒนาขึ้น และ 2.คนในสังคมมีช่องทางสื่อสารมากขึ้น ทำให้เริ่มไม่เชื่อมั่นสื่อ เหมือนในอดีต
“กรณีเพจดักควายถือเป็นความผิดพลาดที่ใหญ่หลวง เพราะข่าวแบบนี้มันตรวจสอบได้ไม่ยาก ถือเป็นความมักง่าย
ที่สื่อหยิบงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งมาเล่นโดยไม่ตรวจสอบ เป็นบทเรียนครั้งใหญ่” มานพ กล่าว
มานพ กล่าวอีกว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ถึงเวลาแล้วที่สื่อต้อง “ทบทวน” กระบวนการทำข่าว ต้องย้อนมาดูว่าทำไมสังคมถึงได้ “ดูแคลน” จนถึงกับพูดว่า “ใครก็เป็นนักข่าวได้” ซึ่งความจริงแล้วทุกคนเป็นนักข่าวไม่ได้ เพราะนอกเหนือจากการบอกเล่าเรื่องราวได้ มันยังมีเรื่อง “ความรับผิดชอบ” ไม่ใช่ไปหยิบปรากฏการณ์อะไรชิ้นหนึ่งมานำเสนอ ก็บอกว่าเป็นนักข่าว มันไม่ใช่
เขาบอกด้วยว่าปัญหาการทำงานของสื่อที่ถูกว่าไม่น่าเชื่อถือ และละเมิดสิทธิคนอื่น จะโทษสื่ออย่างเดียวไม่ได้ เพราะความจริงการทำงานของ “รัฐ” กระทบต่อสิทธิของประชาชนมากที่สุดเช่น ล่าสุดมีการนำผู้เสียหายในคดีอาญาเกี่ยวกับทางเพศที่ฟ้องรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง มาแถลงยอมรับค่าสินไหมทดแทน ถือเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือนำผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ตรงนี้เจ้าหน้าที่รัฐทำได้ แต่ไม่จำเป็นต้องแจ้งสื่อ สุดท้ายสื่อก็กลายเป็นเครื่องมืออย่างดีของกระบวนการเหล่านี้
“ช่างภาพบางคนไปรอเอาภาพเด็ดจากการทำแผน ภาพพ่อแม่ผู้เสียหายยกเท้าใส่ผู้ต้องหาอะไรแบบนี้ กลายเป็นเรื่องความสะใจ ซึ่งจะโทษสื่ออย่างเดียวก็ไม่ได้ แต่สังคมนิยมเรื่องแบบนี้ ทำให้สื่อไขว้เขวไปเองว่าต้องเรื่องแบบนี้ถึงจะขายได้” มานพ กล่าว
อุปนายกสมาคมนักข่าวฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ตนกังวลตอนนี้ คือ เรื่องของสื่อหัวสีทั้งหลาย ซึ่งตนอยากเรียกร้องให้ปรับเปลี่ยนทัศนคติ ข่าวลัก วิ่ง ชิง ปล้น ฆ่า มีได้ เพราะเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในสังคม แต่เราควรมีมุมมองในการนำเสนอที่มากกว่าการเสนอภาพข่าวหวาดเสียว หรือคนโดนข่มขืน ไม่บอกชื่อเหยื่อ แต่บอกชื่อพ่อ-แม่ พร้อมบ้านเลขที่เขา เป็นต้น และสิ่งหนึ่ง
ที่ตนอยากเห็น คือ เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นในเนื้อหา หรือเกิด “ข่าวหลอก ข่าวลวง” ตนอยากเห็นการ “ขอโทษ”.....
ถ้าสื่อขอโทษประชาชนสักครั้งหนึ่ง เราจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ขึ้น มันจะช่วยยกระดับมาตรฐานของเราขึ้นมาให้เป็น “มืออาชีพ” มากขึ้น!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี