ใครๆ ก็ทำสื่อได้..คำคำนี้กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ยุคสมัยที่การเข้าถึงอินเตอร์เนตและเครื่องมือสื่อสารต่างๆ มีราคาต่ำลง ขณะเดียวกัน ข้อมูลต่างๆ บนพื้นที่ออนไลน์อันไร้ขอบเขตนี้มีแต่จะเพิ่มขึ้น จนหลายครั้งยากจะตัดสินใจได้ว่าสิ่งใดบ้างที่เชื่อถือได้หรือไม่ได้
กลายเป็นยุคที่แทบไม่รู้ว่า “อะไรจริง-อะไรลวง”!!!
ปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในยุคนี้ คือการใช้ “สื่อสังคมออนไลน์” (Social Media) เพื่อจุดกระแสบางอย่างในสังคม หากแต่มิได้ทำอย่างตรงไปตรงมา จนหลายครั้งทำให้ผู้รับสื่อเกิดความสับสน ไม่เว้นแม้กระทั่งสื่อหลักทั้งไทยและเทศ ที่นำไปขยายความต่อต้อง “หงายเงิบ” มาแล้ว เพราะเมื่อกระแสถูกโหมกระพือ จนผู้จัดทำสื่อทำนองนี้รู้สึกพอใจแล้ว ก็จะออกมาเปิดเผยภายหลัง
ว่าเป็นเพียง “เรื่องแต่ง” เท่านั้น..ไม่ใช่ “เรื่องจริง” แต่อย่างใด!!!
ที่เห็นกันบ่อยๆ..ก็เช่นกลยุทธ์การโฆษณาแบบ “ไวรัลมาร์เก็ตติ้ง” (Viral Marketing) หรือการสร้างกระแสขึ้นมาสักอย่างหนึ่งผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ที่เมื่อผู้รับสื่อเห็นแล้วก็จะนำไปบอกต่อกับคนอื่นๆ ซึ่งไม่ว่าจะบอกต่อในแง่ใดก็ตาม แต่สำหรับคนใช้กลยุทธ์ประเภทนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วเพราะสื่อของตนได้รับความสนใจ
ที่ผ่านมา มีการใช้กลยุทธ์โฆษณาแบบไวรัลมาร์เก็ตติ้งหลายกรณี ที่แม้จะไม่ผิดในแง่กฎหมาย แต่ก็ถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสม เช่น คลิปหนุ่มสาวมีเพศสัมพันธ์ในรถอย่างโจ๋งครึ่ม, คลิปครูรำคาญนักเรียนใช้โทรศัพท์มือถือในชั้นเรียน จนคว้าโทรศัพท์เครื่องนั้นจากมือนักเรียนมาขว้างลงบนพื้นจนพัง,
คลิปหญิงสาว 3 คนนั่งรับประทานอาหารบนทางเท้าลอยฟ้า (Skywalk) จุดเชื่อมสถานีรถไฟฟ้า BTS สาทร โดยบอกว่ามารำลึกบรรยากาศเก่าๆ เมื่อครั้งอยู่ในสังคมชนบท-ต่างจังหวัด ที่การนั่งรับประทานอาหารบนพื้นถือเป็นเรื่องปกติ, กรณีชายหนุ่มตามหาแม่ ด้วยการถือป้ายรูปหญิงชราที่อ้างว่าเป็นแม่ของตนถามคนที่ผ่านไปมา เป็นต้น
หรือแม้จะไม่ใช่การโฆษณาสินค้า แต่อาจเป็นการสร้างกระแสบางอย่าง เช่น กรณีนักการเมืองดัง โพสต์คลิปที่ระบุว่าตนถูกกลุ่มคนเข้ามาทำร้ายร่างกายขณะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งในเวลานั้นก็มีผู้กำกับภาพยนตร์รายหนึ่ง ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการ “จัดฉาก” หรือไม่? หรือล่าสุดกับกรณีคลิปเด็กชายวิ่งฝ่ากระสุนปืนไปช่วยเด็กหญิงอย่างกล้าหาญ โดยระบุว่าเป็นเหตุการณ์สู้รบในประเทศซีเรีย และสื่อทั่วโลกต่างนำมาเสนอต่อ ก่อนที่ผู้เผยแพร่คลิปนี้จะออกมาเฉลยภายหลังว่า เป็นเพียง “หนังสั้น” ที่พวกตนถ่ายทำกันในประเทศมอลตาเท่านั้น
การใช้กลยุทธ์ทำนองนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดอย่าง ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย เคยให้สัมภาษณ์กับ สำนักข่าว ASTV ผู้จัดการ แนะนำผู้รับสื่อบนโลกออนไลน์ว่า ให้สังเกตว่าลักษณะการนำเสนอ มีบางสิ่งที่ดู“ผิดธรรมชาติ” หรือไม่? เช่น ท่าทาง น้ำเสียงของคนที่อยู่ในคลิป ตลอดจนบรรยากาศโดยรอบ
“ก็อาจจะต้องดูว่ามันดูจงใจเกินไปไหม? หรือโจ่งแจ้งเกินไปหรือเปล่า? ตั้งใจเกินไปหรือเปล่า? จู่ๆ เอาไมโครโฟนมากระทืบพื้น ก็ต้องคิดว่าคนบางคนทำกันขนาดนั้นจริงๆ เลยหรือเปล่า? ทำแล้วถ่ายคลิปแบบนี้เลยหรือ? และลองดูสิว่ามันมีผลทางการตลาดไหม? มีลักษณะสินค้าที่จะแฝงมาได้ไหม?” ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด รายนี้ กล่าว
อีกประเภทหนึ่ง..คือบรรดาเพจ (Page) มากมายในเฟซบุ๊ค (Facebook) ที่ถูกจัดตั้งมาเพื่อกระทำการบางอย่างที่มีนัยแอบแฝง เช่น เพจปล่อยข่าวเพื่อสร้างกระแสทางการเมือง เพจที่มุ่งเรียกคนเข้าชมมากๆ ก่อนจะนำยอดผู้เข้าชมนี้ไปเสนอกับผู้ประกอบการสินค้าและบริการเพื่อขายพื้นที่โฆษณา หรือเพจโจมตีกลุ่มคู่อริเป็นการส่วนตัว เช่น กรณีของเพจดังบางแห่งกำลังมีเรื่องมีราวกับคนอีกกลุ่ม และใช้วิธีการสร้างข้อมูลลวงเพื่อโจมตีฝ่ายนั้น ทว่าสื่อหลักสำนักหนึ่งกลับหยิบข้อมูลลวงนั้นมาขยายความต่อ เพราะเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง
แม้แต่หน่วยงานด้านความมั่นคงเองก็ใช้วิธีการแบบนี้เพื่อลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม ดังรายงานของ สำนักข่าว
อิศรา เรื่อง “ไอโอล้ำเส้นที่ชายแดนใต้” ตั้งข้อสังเกตว่า ฝ่ายรัฐอาจมีการจัดตั้ง “เพจผี” ขึ้นมา เพื่อโจมตีใครก็ตามที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเรียกคนเหล่านี้ซึ่งมีทั้งสื่อมวลชน ผู้นำชุมชน เอ็นจีโอ และนักวิชาการ ว่าเป็น “แนวร่วมมุมกลับ” ของกลุ่มก่อความไม่สงบ
เมื่อโลกออนไลน์เต็มไปด้วย “ข่าวลวง-ข่าวลือ” แบบนี้ ที่แม้กระทั่งสื่อหลักยัง “หลงกล”!!!
คำถามคือ..แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร? ยังมีอะไรที่เชื่อถือได้อีกบ้าง?
ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิจัยชำนาญการสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.) กล่าวกับ “สกู๊ปหน้า 5” แนะนำทั้งคนทำสื่อหลักและประชาชนทั่วไป ถึงวิธีสังเกตสื่อออนไลน์ลักษณะนี้ โดยให้ดูที่ “บทสนทนา”หรือการแสดงความคิดเห็น เช่น เพจที่ระบุว่าจัดตั้งมาเพื่อเรื่องๆ หนึ่ง แต่เมื่อดูบทสนทนาอย่างละเอียดของผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นไปสักระยะ อาจพบว่ามีเนื้อหาบางอย่างแฝงอยู่ก็ได้ ซึ่งนั่นอาจเป็นวัตถุประสงค์จริงของเพจนั้นๆ
“ตัวหน้าเพจจะหลอกยังไงก็ตาม แต่บทสนทนามันหลอกไม่ได้ เวลานักข่าวเข้าไปซุ่มดู หนึ่งคุณต้องไปดูการจัดตั้งของสมาชิก สองดูบทสนทนาของสมาชิกว่าลึกๆ แล้วเขาคุยกันเรื่องนั้นจริงๆ จังๆ หรือเปล่า สามไปดูปฏิสัมพันธ์ของสมาชิก ว่าเขาติดต่อสื่อสาร เขามีเชื่อมโยงกิจกรรมสัมพันธ์ เขาซื้อขาย แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือเขาทำอะไรกันจริงๆ จังๆ หรือเปล่า สี่คือ
ลองสุ่มติดต่อกับสมาชิกในเพจบางคน” นักวิชาการด้านสื่อ รายนี้ กล่าว
เช่นเดียวกับ ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (UTCC) ที่แนะนำว่า ต้องสังเกตทั้งชื่อเพจ ลักษณะการนำเสนอของเพจ และตัวคนดูแลเพจ (Admin) ว่ามีจุดประสงค์ใด
เช่น อาจต้องการเพียงยอดคนเข้าชม (View) หรือกดสนับสนุน (Like หรือ Follow) จำนวนมากๆ แล้วนำไปเสนอกับผู้ผลิตสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อหวังประโยชน์ด้านโฆษณา หรือต้องการเผยแพร่แนวคิดทางการเมือง หรือมีจุดประสงค์อื่นๆ ก็จะทำให้ผู้บริโภคสื่อ สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเพจนี้น่าเชื่อถือเพียงใด?
“อย่างแรกที่ต้องตั้งคำถาม คือเพจนี้ใครเป็นคนทำ? แอดมินเป็นใคร? เปิดเผยชื่อไหม? ถ้าแอดมินไม่เปิดเผยชื่อ แต่ใช้ฉายาหรืออะไรก็ตาม ก็ต้องวิเคราะห์ต่อไปว่าวัตถุประสงค์ของแอดมินคืออะไร? ต้องการดึงคนเข้าเพจเยอะๆ แล้วเอาไปขายให้กับสินค้าและบริการ เพื่อหารายได้หรือเปล่า? หรือถ้ารู้ว่าเปิดมาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองแบบหนึ่ง เราก็จะรู้ว่าข้อมูลเขาแนวคิดเขา มันก็จะไปในทางนั้นทางเดียว ก็ไม่จำเป็นต้องไปเชื่อทุกอย่างที่เขาเสนอออกมา
ต้องดูจำนวนคนที่เข้าไปในเพจว่ามีมากน้อยแค่ไหน? แล้วก็ต้องไล่ดูเนื้อหาของเขาส่วนใหญ่ว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร? เช่น
พูดคุยตลกเฮฮา หรือเปิดมาเพื่อด่าคนคนเดียวหรือคนกลุ่มเดียวเป็นหลัก เราจะได้รู้ว่า อ่อ..เพจนี้เปิดมาเพื่อด่าพวกนี้ แต่ก็ต้องระวังเพราะบางทีก็มีซับซ้อนขึ้นไปอีก เช่น เปิดมาทำเป็นด่าฝ่ายนี้ แต่เอาข้อมูลอีกฝ่ายมาแปลง มาล่อมาดัก ก็คือทุกคนต้องระมัดระวังในการเก็บข้อมูล” รองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ ม.หอการค้าไทย ให้ความเห็น
นอกจากจะเตือนทั้งคนทำข่าวและนักท่องเนตให้ใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลบนโลกออนไลน์แล้ว อีกด้านหนึ่ง
ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคอมพิวเตอร์ ยังฝากเตือนไปยังบรรดานักทำเพจที่มีเนื้อหา
หลอกลวง ปล่อยข่าวลือให้เกิดความตื่นตระหนกต่อสาธารณะ หรือนำข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นมาเผยแพร่จนทำให้เกิด
ความเสียหาย อาจมีความผิดตามกฎหมายอีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 ที่ห้ามนำเข้า (โพสต์) ข้อมูลอันเป็นเท็จ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นหรือประชาชน, ข้อมูลอันเป็นเท็จที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ หรือทำให้เกิดความตื่นตระหนกกับประชาชน, ข้อมูลที่ผิดกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงและการก่อการร้าย และข้อมูลที่เป็นเรื่องลามกอนาจาร มีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
รวมถึง มาตรา 16 สำหรับการนำภาพของผู้อื่นมาตัดแต่งต่อเติมแล้วเผยแพร่ ในลักษณะที่ทำให้บุคคลนั้นได้รับความเสียหาย อับอาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (เว้นแต่เป็นการกระทำที่สุจริต) นอกจากนี้ยังอาจมีความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญาอีกด้วย
ขณะที่สื่อมวลชนก็ดี หรือนักท่องเนตที่ส่งต่อข้อมูลที่เข้าข่ายความผิดข้างต้นก็ดี ถือว่ามีความผิดด้วย และมีโทษเท่ากับตัวการผู้ผลิตข้อมูลดังกล่าว จึงฝากให้ใช้ความระมัดระวังในการแชร์ข้อมูลหรือนำเสนอข่าว
โลกสมัยนี้เป็นยุคข่าวสารท่วมท้น..คนสมัยนี้จึงต้องรอบคอบมากขึ้น!!!
ไม่เช่นนั้น..อาจจะ “ถูกหลอก” หรือ “ทำผิดกฎหมาย” โดยไม่รู้ตัว!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี