หลายสิบปีมานี้ “เครื่องใช้ไฟฟ้า” กลายเป็นของคู่บ้านคู่เรือนคนไทย ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ ฯลฯ มาจนถึงสินค้าที่ทันสมัยขึ้นอย่างโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ทั้งแบบพีซีตั้งโต๊ะ โน้ตบุ๊ค และแท็บเลต ที่นับวันจะมีสมรรถนะสูงขึ้นทว่าราคาต่ำลงเรื่อยๆ จนใครๆ ก็หาซื้อมาใช้ได้
ด้านหนึ่งถือเป็นความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้ เช่น การเข้าถึงอินเตอร์เนตได้ในราคาไม่แพง ถือเป็นการเปิดโลกความรู้อย่างมหาศาล และทำให้คนที่อยู่ห่างไกลกันสนทนากันได้เหมือนอยู่ใกล้ แต่อีกด้านหนึ่งมันได้ก่อให้เกิดผลกระทบมากมาย รวมทั้ง “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” ที่ล้นเมืองด้วย
ข้อมูลจาก กรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า ในปี 2556 มีซากโทรศัพท์มือถือจำนวน 9.14 ล้านเครื่อง จะเพิ่มขึ้นเป็น 9.75 ล้านเครื่อง ในปี 2557 และจะทะลุ 10 ล้านเครื่อง ในปี 2558 ขณะที่ซากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) ปี 2556 อยู่ที่ 1.99 ล้านเครื่อง จะเพิ่มเป็น 2.21 ล้านเครื่อง ในปี 2557 และ 2.42 ล้านเครื่อง ในปี 2558
นี่แค่ “สินค้าไอที” เท่านั้น..ยังไม่นับรวมซากเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ด้วยซ้ำไป!!!
ในประเทศพัฒนาแล้ว ขยะอิเล็กทรอนิกส์ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก มีระบบบริหารจัดการเป็นรูปแบบพิเศษ ไม่ปะปนกับขยะทั่วไป ล่าสุด กรมควบคุมมลพิษ เตรียมเสนอ ร่าง พ.ร.บ.การจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และซากผลิตภัณฑ์อื่น พ.ศ.... ที่คาดว่าจะเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เร็วๆ นี้ “สกู๊ปหน้า 5” จึงขอสรุปสาระสำคัญที่น่าสนใจ และเกี่ยวข้องกับประชาชนทั่วไป มาให้ทุกท่านทราบกัน
เริ่มจากในส่วนของ “ผู้ผลิต” โดย มาตรา 14 ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หรือชิ้นส่วนอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงตัวแทนจำหน่ายด้วย ต้องขึ้นทะเบียนกับกรมควบคุมมลพิษ หรือหน่วยงานอื่นที่ได้รับมอบอำนาจ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น
มาตรา 15 ผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่าย ต้องทำแผนบริหารจัดการซากผลิตภัณฑ์ที่ตนเองผลิต หรือนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศ ซึ่งอาจทำแผนเป็นของบริษัทตนเอง หรือรวมกลุ่มกันเป็นสมาคมเพื่อจัดทำแผนก็ได้ โดยสาระสำคัญของแผน คือการพัฒนาช่องทางเผยแพร่ข้อมูล การรับคืนหรือเก็บรวบรวมซากผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ให้คำนึงถึงความสะดวกของผู้บริโภคเป็นหลัก มีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมซากผลิตภัณฑ์ และการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการขนส่งซากผลิตภัณฑ์
นอกจากนี้ตาม มาตรา 16 ยังย้ำให้ผู้ผลิตต้องรายงานแผนต่อคณะกรรมการจัดการซากผลิตภัณฑ์ ที่มีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานด้วย และ มาตรา 18 ให้ผู้ผลิตรายงานปริมาณผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในประเทศ ทุกๆ 6 เดือน
ต่อมาคือ “ผู้กำจัดขยะ” แต่เดิมซากเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นถือเป็น “ของโปรด” ของบรรดา “ร้านรับซื้อของเก่า” ที่จะนำไป
ถอดแยกชิ้นส่วน เพราะส่วนประกอบบางชนิด (เช่น ทองแดง) ถือเป็น “ของมีค่า” ราคาดี ซึ่งหาก พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้
ใน มาตรา 28 ได้ระบุข้อกำหนดไว้ว่า “ห้ามถอดแยกชิ้นส่วน”อย่างเด็ดขาด เท่ากับว่าหลังจากนี้ ร้านรับซื้อของเก่าอาจไม่สามารถรับซื้อซากเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าจากบ้านเรือนได้อีกต่อไป
สุดท้ายคือ “ผู้บริโภค” ที่หลังจากนี้จะทิ้งซากเครื่องใช้ไฟฟ้า ตามสะดวกไม่ได้อีกแล้ว เพราะตาม มาตรา 23 กำหนดชัดว่า ห้ามทิ้งซากเหล่านี้ปะปนกับขยะทั่วไป หรือทิ้งในพื้นที่รกร้างว่างเปล่าสาธารณะ (เช่นที่ว่างๆ ข้างถนน) เด็ดขาด ที่สำคัญ..มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท อีกด้วย (มาตรา 42)
นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า ที่ผ่านมา สังคมไทยปล่อยปละละเลยกันมานาน เช่น กรณีของการทิ้งซากเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่มักจะเอาไปทิ้งปะปนกับขยะทั่วไปแล้วก็จะมีผู้มาเก็บไปขายยังร้านรับซื้อของเก่า และร้านเหล่านี้มักจะถอดแยกเอาชิ้นส่วนที่มีราคาสูงไปเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็จะนำไปทิ้งตามมีตามเกิด ซึ่งขยะเหล่านี้มีบางชิ้นส่วนที่ปนเปื้อนโลหะหนักและสารเคมี หากไม่กำจัดอย่างถูกวิธีก็จะเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมได้
“ทุกวันนี้ร้านรับซื้อของเก่า ซึ่งก็มีทั้งเล็กทั้งใหญ่ บางทีรับซื้อมาแล้วก็ส่งต่อหรือนำไปชำแหละ แล้วก็เอาชิ้นส่วนที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจไปขายต่อเอากำไร ส่วนที่ตกหล่นอยู่คือสิ่งที่เป็นมลพิษ พวกโลหะหนักหรือที่มันมีสารอันตราย จะไปแอบทิ้งหรือไปกำจัดอย่างไม่ถูกต้อง นี่คือปัญหา ฉะนั้นมันเลยต้องมีระบบที่จะรวบรวมของพวกนี้ กลับมาให้มากที่สุด” นายวิเชียร กล่าว
อีกคำถามหนึ่งที่ประชาชนอาจรู้สึกกังวล คือเมื่อมีกฎหมายนี้ การทิ้งซากเครื่องใช้ไฟฟ้าจะไม่สามารถทิ้งปะปนกับขยะอื่นๆ แล้วรอให้รถขยะมาขนไปได้อีกต่อไป แต่จะต้องนำไปคืนกับจุดที่ลงทะเบียนรับซากสินค้า หรือร้านที่ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผู้บริโภคไปซื้อมาเท่านั้น จะเป็นการสร้างภาระให้ประชาชนหรือไม่? เพราะต้องมีการเดินทางเพื่อขนย้ายซากไปยังจุดดังกล่าว
ประเด็นนี้ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ให้ความเห็นว่า หากต้องการเห็นประเทศไทยมีสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น ทุกฝ่ายก็ต้องช่วยกัน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ ซากขยะอิเล็กทรอนิกส์น่าจะมีมูลค่าสูงขึ้น ถึงเวลานั้นอาจมีผู้ให้บริการไปรับขยะถึงบ้านก็ได้ ผู้บริโภคก็จะยังได้รับความสะดวกเช่นเดิม
“ถ้าเราต้องการให้บ้านเมืองสะอาด ทุกคนก็ต้องช่วยกัน มันอาจจะลำบากนิดหน่อยในการจัดการกับเรื่องนี้ หรือทางเทศบาลอาจจะมีบริการไปรับซื้อถึงบ้านก็ได้ ก็ขึ้นกับวิธีของแต่ละเทศบาลเช่นวันนี้ใครจะทิ้งทีวีก็จะมารับซื้อถึงบ้านเลย ก็จะทำให้เกิดระบบขึ้นมา ดีกว่าให้คนทิ้งๆ ขว้างๆ เพราะถ้ามันปล่อยไปถึงมือคนที่ไม่รับผิดชอบ สารพิษมันก็จะกลับมาสู่สิ่งแวดล้อม” อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ฝากทิ้งท้าย
คงต้องยอมรับว่า..พฤติกรรมการใช้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของคนไทยเปลี่ยนไปมาก จากเดิมที่ซื้อมาแล้วใช้จนหมดอายุการใช้งาน กลายเป็นซื้อใหม่ตามกระแส เห็นได้ชัดจากโทรศัพท์มือถือ ที่ผู้ประกอบการหลายรายยืนยันตรงกันว่า ปัจจุบันสามารถพบมือถือที่เป็นเครื่องมือสอง อายุ 6 เดือน-1 ปี วางจำหน่ายตามแผงเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจพบว่า ผู้บริโภคเมื่อไม่ใช้มือถือและคอมพิวเตอร์แล้ว กว่าร้อยละ 50 นำไปขาย อีกร้อยละ 30 เก็บไว้ ขณะที่ราวร้อยละ 8-12 นำไปทิ้งรวมกับขยะอื่น เท่ากับว่า “ใช้กันเยอะ-เปลี่ยนกันง่าย” แบบนี้ จึงต้องมีระบบมาควบคุมและบริหารจัดการซากสินค้า ไม่ให้ทิ้งกันตามอำเภอใจจนก่อมลพิษ
ส่วนกฎหมายนี้..ท้ายที่สุดจะได้ออกมาใช้หรือไม่? คงต้องติดตามกันต่อไป!!!
หมายเหตุ : ผู้สนใจสามารถอ่านร่างกฎหมายฉบับเต็มได้ที่ http://infofile.pcd.go.th/law/Draft_571130.pdf?CFID=1016218&CFTOKEN=95516013
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี