สังคมผู้สูงอายุ..คำคำนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เนื่องจากอัตราการเกิดของประชากรไทยลดต่ำลงเรื่อยๆ สวนทางกับจำนวนประชากรวัยเกษียณ หรืออายุ 60 ปีขึ้นไป ที่เพิ่มขึ้น ดังที่มีการคำนวณว่า ปัจจุบันมากกว่า 1 ใน 10 ของประชากรไทยทั้งหมด 65 ล้านคน หรืออยู่ที่ประมาณ 6-9 ล้านคน ล้วนเป็นผู้สูงอายุทั้งสิ้น
ทว่าการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย ถือว่าน่าเป็นห่วงมาก เพราะเมื่อไปดูประเทศอื่นๆ ที่ก้าวเข้าสู่วิกฤตินี้ ไม่ว่าจะเป็นหลายประเทศในสหภาพยุโรป (EU) ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือแม้แต่เพื่อนบ้านร่วมอาเซียนของเราอย่างสิงคโปร์ ล้วนแต่เป็น “ประเทศพัฒนาแล้ว” ที่ประชากรมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวค่อนข้างสูง จนรัฐบาลสามารถเก็บภาษีไปจัดทำสวัสดิการเตรียมพร้อมสำหรับวัยเกษียณอย่างเพียงพอ
ขณะที่บ้านเรา..ยังไปไม่ถึงขั้นดังกล่าว!!!
“ประเทศไทยเราเป็นประเทศกำลังพัฒนาอยู่ รายได้ระดับปานกลาง พยายามตะเกียกตะกายให้เป็นประเทศรายได้ระดับสูง ซึ่งยังไปไม่ถึง”
ศ.ดร.สมชัย ฤชุพันธุ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และประธานมูลนิธิสถาบันพัฒนาสยาม กล่าวในงานเสวนา “เดินหน้าการออมสู่ระบบบำนาญแห่งชาติ เพื่อสังคมสูงวัยไทยที่มีคุณภาพ” ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กทม. เมื่อปลายเดือนต.ค. 2557 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังย้ำอีกว่า ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีทางที่รัฐจะสามารถเลี้ยงดูประชาชนทั้งประเทศได้หมด ฉะนั้นหนทางหนึ่งคือรัฐบาลต้องจัดระบบให้สังคมดูแลกันเอง พยายามช่วยตัวเองขณะที่ยังทำงานได้ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอย่างมั่นคง ปลอดภัย และมีความสุขเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ
ดร.สมชัย กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันแนวทางการออมเงินเพื่อเข้าสู่วัยชราของสังคมไทย มีอยู่ด้วยกัน 3 ส่วน คือ 1.ประกันสังคม รวมถึงประกันชราภาพ แต่ปัญหาคือคนไทยอีกราว 23 ล้านคนยังไม่เข้ากองทุนประกันสังคม 2.การออมแบบบังคับ โดยออกกฎหมายบังคับให้ทำการออมเพื่อชราภาพ ตรงนี้ประเทศไทยพยายามให้มี แต่ยังไม่สำเร็จ
และ 3.การออมโดยสมัครใจแบบมีข้อผูกพันและไม่มีข้อผูกพัน อาทิ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมถึงการออมแบบสมัครใจ โดยไม่มีข้อผูกพัน ผ่านธนาคาร เป็นต้น แต่ถึงแม้จะมีหลายระบบ กลับพบปัญหาคือขาดความเชื่อมโยงระหว่างระบบต่างๆ ข้างต้น โดยยกตัวอย่าง “การออมภาคประชาชน”ที่ผ่านกองทุนสวัสดิการชุมชน และมีอยู่ทั่วประเทศ ก็ยังขาดการเชื่อมโยงกับระบบหลักดังกล่าว
สอดคล้องกับ ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่ระบุว่า โครงสร้างระบบการออม 3 ส่วน “ประชาชน-เอกชน-รัฐ” หากเป็นในประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีการเชื่อมโยงถึงกัน ขณะที่ประเทศไทยกลับแยกกันอยู่ จึงเกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมขึ้นมาก
โดยภาครัฐหรือข้าราชการ เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดเพราะมีหลักประกันด้านสวัสดิการมากที่สุด รองลงมาคือแรงงานในภาคเอกชน ที่มีระบบประกันสังคม ส่วนกลุ่มแรงงานนอกระบบและอาชีพอิสระ ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่สุด เพราะยังไม่มีหลักประกันใดๆ ที่จะคุ้มครองคนกลุ่มนี้
“คนที่ได้รับความคุ้มครองมากที่สุดคือคนที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด ซึ่งก็หมายถึงข้าราชการแล้วก็ลูกจ้างเอกชน เขามีความเสี่ยงน้อยกว่าแรงงานนอกระบบ เพราะว่าเขามีรายได้ประจำ การที่มีรายได้ทุกเดือน เป็นสิ่งที่พึงประสงค์ของชีวิต มันหมายถึงว่าเมื่อหนึ่งเดือนผ่านไปจะแน่ใจได้ว่าคุณจะมีเงินใช้ในเดือนต่อไป แล้วคุณจะมีเงินใช้ต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่แรงงานนอกระบบไม่มีความมั่นคงตรงนี้อยู่เลย เพราะฉะนั้นคือกลุ่มที่เสี่ยงที่สุดแต่ได้รับความคุ้มครองต่ำที่สุด เรามีหลักประกันที่บางมากสำหรับคนที่อยู่ในกลุ่มแรงงานนอกระบบ”ดร.วรวรรณ กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้แต่ผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม ในอนาคตก็อาจเผชิญความเสี่ยงไม่ต่างจากแรงงานนอกระบบ ดร.วรวรรณ กล่าวต่อไปว่า อีก 30 ปีข้างหน้า กองทุนประกันสังคมอาจเหลือเงินไม่เพียงพอที่จะจ่ายบำบาญให้ประชากรวัยเกษียณ คำถามคือวันนี้ผู้เกี่ยวข้องได้เตรียมการรับมือไว้หรือไม่?
ขณะที่การออมอีกรูปแบบที่ผ่านเป็นกฎหมายมาแล้วตั้งแต่ปี 2554 คือ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งจะเป็นอีกทางเลือกในการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ คู่ขนานไปกับระบบอื่นๆ ทว่า ณ วันนี้ ก็ยังไม่มีการเปิดรับสมาชิก มิหนำซ้ำเมื่อปี 2556 รัฐมนตรีบางคนขณะนั้นยังพยายามที่จะยกเลิกกฎหมายนี้ โดยย้ายไปรวมกับกองทุนประกันสังคม ด้วยเหตุผลว่าเพื่อไม่ให้การทำงานซ้ำซ้อนกัน ทั้งที่มีเสียงคัดค้านมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นจากนักวิชาการ หรือจากองค์กรอิสระอย่าง สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ที่ออกหนังสือเลขที่ คปก.01/976 ชี้แจงข้อบกพร่องและปัญหาที่จะเกิดขึ้นหากนำ กอช. ไปรวมกับประกันสังคม (ยุบ “กองทุนการออมแห่งชาติ” “บำนาญประชาชน” ต้องรอต่อไป : สกู๊ปหน้า 5 หนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ.2556) และแนะนำให้รัฐบาลเร่งปฏิบัติตาม พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ.2554 ด้วยการเปิดให้ประชาชนสมัครเป็นสมาชิกโดยเร็ว
ประเด็นนี้ ดร.วรวรรณ ระบุว่า การดำเนินการของ กอช. รัฐจะใช้งบประมาณราว 2.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งไม่มากมายเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่ประชาชนจะได้รับ อีกทั้งมิใช่รัฐต้องจ่ายฝ่ายเดียว แต่ประชาชนก็ร่วมลงขันด้วย นอกจากนี้ยังแสดงความเป็นห่วง หลังพบว่าทุกวันนี้มีผู้สูงอายุฆ่าตัวตายสูงขึ้น ด้วยสาเหตุที่ว่า “ไม่มีค่า-ไม่มีใครดูแล” สะท้อนถึงความรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิตของประชากรกลุ่มนี้ที่มีมากขึ้น
“รัฐต้องส่งเสริมให้คนออม แล้วประชาชนก็ออมในส่วนของตัวเองด้วย ภาคราชการเขาก็มีบำเหน็จบำนาญของภาคราชการไป ส่วนประชาชนทุกคน ควรที่จะมีกลไกตรงนี้มารองรับ ที่บอกว่าประชาชนต้องออมเองดิฉันไม่เห็นด้วย ดิฉันคิดว่าภาครัฐควรจะส่งเสริมให้ประชาชนออม ประชาชนก็รับผิดชอบส่วนของตนด้วยการลงขันลงไปด้วย รัฐก็ช่วยในแนวทางที่จำกัด
เท่าที่เราไปทำวิจัยกันมาเราคำนวณกันแล้วว่าสิ่งที่รัฐจะรับภาระในส่วนของ กอช. ไม่ได้มากมายมหาศาล ในต่อปีมันจะไม่เกิน 2 หมื่น 5 พันล้านบาท มันจะไม่เป็นภาระในการคลังเลย ในสิ่งที่รัฐรับภาระไว้ มันก็จะช่วยให้คนมาออมเพื่อความมั่นคงของชีวิตเขา ความสุขที่เขามีเงินออมมันสร้างความแตกต่างในชีวิตค่อนข้างที่จะสูง”
นักวิชาการจาก TDRI รายนี้ ฝากทิ้งท้าย และย้ำอีกครั้งว่า..คนทุกคนต้องการความมั่นคงของชีวิตเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรจึงจะสร้างระบบที่จะทำให้เกิดความมั่นคงให้กับชีวิต ซึ่งส่วนหนึ่งคือต้องมีกลไกส่งเสริมการออมโดยเร็วที่สุด
วันนี้ พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ.2554 และ กอช. ยังไม่ถูกยกเลิก ล่าสุดเมื่อ 25 พ.ย. 2557 ที่ผ่านมา
นพ.อำพล จินดาวัฒนะ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะประธานกรรมาธิการปฏิรูปสังคม ชุมชน เด็ก เยาวชน สตรี ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส กล่าวว่า จะเร่งผลักดันให้รัฐบาลดำเนินการตามพ.ร.บ.ฉบับนี้โดยเร็ว โดยคาดว่าน่าจะทันภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้เป็นของขวัญรับปีใหม่ 2558 กับประชาชน
ก็ขอให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะต้องไม่ลืมว่า..ยิ่งเริ่มออมเงินเร็วเท่าไร จำนวนเงินที่สะสมก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อพ้นวัยทำงานกลายเป็นวัยเกษียณแล้ว ก็จะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไม่ลำบาก หรือต้องรอแต่จะพึ่งพาลูกหลานเพียงทางเดียว!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
นนทิยา ตาน้อย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี