เชื่อว่าคนไทยคงจะคุ้นเคยกันดี กับสารพัดการโฆษณาของหน่วยงานภาครัฐ ที่มีภาพหรือข้อความในเชิงสนับสนุนบรรดา “คนใหญ่คนโต” ทั้งที่เป็นนักการเมืองบ้าง ข้าราชการประจำระดับสูงบ้าง ซึ่งทำกันจนกลายเป็น “ประเพณี” ไปแล้วทุกยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนหรือกลุ่มใดก็ตาม
รายงานของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เรื่อง “การครอบงำสื่อสาธารณะของรัฐ” อ้างอิงการสำรวจของบริษัท Nielsen Company ระบุว่า ในปี 2556 ที่ผ่านมา สัดส่วนมูลค่าการโฆษณา แบ่งเป็นโฆษณาของเอกชน 114,115 ล้านบาท หรือร้อยละ 93 ขณะที่โฆษณาของหน่วยงานภาครัฐ 7,985 ล้านบาท หรือร้อยละ 7
เทียบสัดส่วนแล้วอาจดูเป็นเรื่องเล็ก..แต่เมื่อลงลึกในรายละเอียด จะพบว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม!!!
“สตง. เองก็เจ็บปวดกับเรื่องที่เราเจอมาเยอะ เวลาเราไปตรวจแล้วเจอการใช้จ่ายเงินที่เป็นการแทรกแซงสื่อ จะเป็นฝ่ายข้าราชการประจำก็ดี จะเป็นฝ่ายบริหารที่มาจากการเลือกตั้งก็ดี ส่วนใหญ่ก็จะฉกฉวยโอกาสที่มีหน้าที่ในทางบริหาร แล้วก็อาศัยเงินแผ่นดิน ที่เราบอกว่าเป็นเงินของคนทั้งประเทศ เอามาประชาสัมพันธ์
อย่างบางทีเราอาจไปเจอรายงานผลงานของผู้บริหารท้องถิ่น ลงข่าวหนังสือพิมพ์ไปทั่วประเทศเลย แต่ไม่ใช่ข่าวนะครับ เป็นการโฆษณา คือโฆษณาน่ะโฆษณาได้ครับ แต่โฆษณาแล้วประชาชนได้ประโยชน์อะไร นี่คือสิ่งที่ สตง. บอกว่าเจ็บปวด เพราะดูแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย”
นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง “การครอบงำสื่อสาธารณะของรัฐ” ณ โรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ เมื่อ 1 ธ.ค. 2557 ที่ผ่านมา ถึงสิ่งที่พบเมื่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ไปตรวจสอบการใช้งบประมาณของรัฐในส่วนราชการต่างๆ แล้วพบว่า หลายหน่วยงานใช้งบประชาสัมพันธ์ไปอย่างไม่คุ้มค่า ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ซ้ำร้ายบางครั้งก็เข้าข่ายใช้เพื่อ “โปรโมทตัวเอง”
ผู้ว่าการ สตง. กล่าวต่อไปถึงวิธี “โฆษณาแบบเนียนๆ” ไว้หลายแบบ ไล่ตั้งแต่ที่พบเห็นกันบ่อยๆ เช่น เมื่อมีการสร้างถนน สร้างสะพาน ติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่าง ฯลฯ มักจะมีป้ายโฆษณาตามมาว่า “สนับสนุนโดย ..”, “อภินันทนาการโดย..” แล้วก็ตามด้วยชื่อนักการเมืองท้องถิ่นประจำพื้นที่นั้นๆ
หรือการใช้ “ระบบอุปถัมภ์” เพื่อผลประโยชน์ต่างตอบแทน เช่น หน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งจ้างบริษัทโฆษณาประชาสัมพันธ์หน่วยงาน ซึ่งนอกจากการโฆษณาหน่วยงานตามปกติแล้ว ยังมี “ของแถม” ด้วยการโฆษณาตัวบุคคลที่เป็นผู้บริหารหน่วยงานนั้นติดมาด้วย ทำให้เมื่อ สตง. ไปตรวจสอบจะไม่พบการใช้งบประมาณบานปลาย เพราะถือเป็น “ข้อตกลง” กันเองระหว่างหน่วยงานผู้จ้าง กับบริษัทโฆษณาผู้รับงาน
ท่านทั้งหลาย “ได้หน้า” โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม..ส่วนบริษัทโฆษณา “ได้เงิน” จำนวนมากจากสัญญาว่าจ้าง!!!
สมประโยชน์ทั้งสองฝ่ายแบบนี้..ใครบ้างจะไม่เอา?
“พอเราไปตรวจสอบ เขตบอกไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าใครให้เอามาติด แต่สืบไปสืบมาก็คือคนที่มารับงานทำป้ายโฆษณานั่นแหละ เหมือนกับเป็นการตอบแทนที่ได้อนุมัติงบประมาณให้มาจ้างโฆษณา ก็ตอบแทนว่า..เดี๋ยวคุณมีอะไรผมโฆษณาให้ฟรี..เราก็ตรวจแล้วพบว่าไม่ได้มีการใช้งบประมาณ พอเราบอกว่าเขาหาเสียงส่วนตัว เขาบอกว่าเปล่า เขาไมได้ใช้งบสักบาท พอเราถามไปที่บริษัทโฆษณา บริษัทบอกว่า..ใช่ เขาจ้างมาโฆษณา เขาก็โฆษณาไปแล้ว แต่อันนี้ของแถม..” นายพิศิษฐ์ ระบุ
ผู้ว่าการ สตง. ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมต่อไปว่า ปัญหาป้ายโฆษณาที่กีดขวางทางเท้า หรือบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็นของผู้ขับขี่ยานพาหนะ ส่วนหนึ่งมาจากการใช้งบประมาณของรัฐที่สิ้นเปลืองแบบนี้หรือไม่? เช่น การทำป้ายประชาสัมพันธ์โครงการรณรงค์ความปลอดภัยบนท้องถนนแต่กลายเป็นว่าป้ายโครงการดังกล่าวที่ติดไปทั่ว กลับทำให้การมองเห็นเส้นทางลำบากขึ้นกว่าเดิม กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงของ “อุบัติเหตุ” ไปแทน
“รัฐมนตรีบางคนเขาก็ไปคิดโฆษณาเกี่ยวกับวันสงกรานต์ เช่นเมาไม่ขับ หรือขับรถอย่าประมาท ท่านรู้ไหมเขาทำยังไง? เขาก็ไปจ้างทำแผ่นป้ายไปติด ก็เกะกะวิสัยทัศน์การขับรถ มาวางตามฟุตบาทหรือเกาะกลางถนนเต็มไปหมด แล้วก็มีรูปเขายกมือไหว้ คือพร้อมจะส่งคนขับรถให้ไปสวรรค์น่ะครับ นี่คือตัวเขาเองที่เป็นคนสร้างปัญหา แล้วสื่อแบบนี้ สตง. ก็ประเมินบอกว่ามันไม่เห็นคุ้มค่า ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย เสียค่าทำไวนิลทั้งเยอะแยะ แต่เสร็จแล้วคุณมาบดบังวิสัยทัศน์” นายพิศิษฐ์ กล่าวย้ำ
นอกจากป้ายโฆษณาแล้ว ยังมีการโฆษณาแบบอื่นๆ ที่อาจเป็นการใช้งบประมาณแบบสิ้นเปลือง เช่น หนังสือที่พิมพ์เผยแพร่ภายในหน่วยงาน มักจะมีอย่างน้อย 1 หน้าเสมอที่เป็นการโปรโมทตัวบุคคลที่เป็นผู้บริหารของหน่วยงานนั้นๆ โดยพิมพ์เป็นภาพสีด้วยกระดาษอย่างดี ซึ่งนายพิศิษฐ์ มองว่า หากไม่มีการพิมพ์โฆษณาในหน้านี้ น่าจะช่วยให้ประหยัดงบประมาณได้มากกว่าที่เป็นอยู่
“วิธีการแอบแฝงนี้มันทำกันทุกรูปแบบ เช่น ออกนิตยสารมาสักฉบับหนึ่งเกี่ยวกับหน่วยงานของเขาเอง เขาก็จะมีโฆษณาแบบนี้สักหน้านึง เวลาเราเปิดขึ้นมามันก็เหมือนหนังสืองานศพ มีรูปรัฐมนตรีใส่สะพายเต็มยศ เขียนชื่อเขียนตำแหน่งๆ จริงๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับหนังสือที่เขาแจกในงานศพ เสียไป 1 หน้า หน้าละกี่สตางค์?
แล้วภาพสี กระดาษมันๆ ด้วยนะ แล้วถ้าร้อยเล่มพันเล่มมันจะกี่สตางค์? แล้วถ้าไม่พิมพ์แบบนี้ มันจะลดไปอีกกี่สตางค์ ทำไมไม่โฆษณาว่าหน่วยงานนี้ได้ทำประโยชน์อะไร แต่ไปโฆษณาเรื่องหน้าตาเป็นสำคัญ ผมว่าการควบคุมการใช้จ่ายเงินตรงนี้จะทำให้เกิดความเป็นธรรมกับเจ้าของเงิน” ผู้ว่าการ สตง. ฝากทิ้งท้าย
เรื่องของการโฆษณาหน่วยงานของรัฐ ที่มักจะแฝงการโปรโมทตัวบุคคลระดับผู้บริหารองค์กรมาด้วย ด้านหนึ่งคงต้องยอมรับว่าสอดคล้องกับบริบทสังคมแบบไทยๆ ที่ยึดถือตัวบุคคลมากกว่าระบบ จึงทำให้ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ต้องพยายามประชาสัมพันธ์ตนเองตลอดเวลา เพราะไม่อยากกลายเป็น “ผู้บริหารที่โลกลืม” ดังที่สื่อบางสำนักใช้เรียกรัฐมนตรีที่ไม่ค่อยเป็นข่าว อีกทั้งถ้าประชาชนไม่เห็นผลงานเลย อาจพาลคิดไปว่าไม่ได้ทำงาน อันจะส่งผลต่อคะแนนเสียงสมัยหน้า หรือคำถามถึงความเหมาะสมของการดำรงตำแหน่งของผู้บริหารคนดังกล่าว
แต่อีกด้านหนึ่ง การใช้งบโฆษณาแบบประเภท “สักแต่ว่าทำ” มีแต่ภาพ เสียง หรือข้อความที่ระบุถึงตัวผู้บริหารหน่วยงาน มากกว่าเรื่องราวของภารกิจหน้าที่และผลงานของหน่วยงาน สิ่งเหล่านี้ย่อมถูกมองว่า “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” สิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ เพราะโฆษณาลักษณะนี้ไม่ได้เกิดประโยชน์กับประชาชนเท่าที่ควรจะเป็น อีกทั้งยังอาจเข้าข่าย “ผลประโยชน์ทับซ้อน” เนื่องจากนำงบประมาณแผ่นดินมาใช้สร้างคะแนนเสียงให้ตนเอง ซึ่งทุกหน่วยงานต้องตระหนักในจุดนี้ด้วย
เพราะต้องไม่ลืมว่า..งบประมาณของรัฐทุกบาททุกสตางค์ มาจากภาษีของประชาชน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี