วันพุธ ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2568
สะเทือนใจส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ กับกรณีพบศพ 5 ศพ เสียชีวิตในบ้านหลังหนึ่งย่านบางยี่เรือ กทม. เมื่อคืนวันที่ 31 ธ.ค. 2557 ที่ผ่านมา ซึ่งจากหลักฐานเบื้องต้น ตำรวจระบุว่า นายอนันต์ จารุพรรณกิจ อายุ 64 ปี หัวหน้าครอบครัวนี้ เป็นผู้ลงมือสังหารทั้งมารดา น้องสาว และลูกทั้ง 2 ก่อนจะปลิดชีพตนเองเป็นคนสุดท้าย
ข้อความในจดหมายลาตายของนายอนันต์ ที่ตำรวจเชื่อว่าเป็นเหตุจูงใจ บรรยายตัดพ้อปัญหาทางการเงินของตน ที่ต้องเลี้ยงดูอีก 4 ชีวิต ในครอบครัวเพียงลำพัง แม้อดีตภรรยาจะช่วยเรื่องค่าเล่าเรียนของลูกทั้ง 2 แต่ก็ยังไม่เพียงพอ โดยก่อนหน้านี้ เขาเคยขายของอยู่ที่ย่านเยาวราช แต่เมื่อมีโครงการพัฒนาที่ดินบริเวณดังกล่าว ร้านค้าของนายอนันต์ก็ถูกไล่ที่ จึงทำให้ขาดรายได้ ล่าสุดเตรียมย้ายออกจากบ้านหลังดังกล่าว รวมถึงชำระค่าเช่างวดล่าสุดแล้ว
โดยไม่มีใครคาดคิดว่า..จะเกิดเหตุเศร้าสลดขึ้น!!!
ไกลออกไปจากเขตเมืองหลวง ปัญหาการขาดแคลนพื้นที่ทำกิน ทวีความรุนแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เช่นที่ จ.นครราชสีมา 24 มิ.ย. 2557 รายงานข่าว “ปัญหาไม่มีที่ดินทำกิน ความเหลื่อมล้ำในเมืองโคราช” ของเว็บไซต์ นสพ.คมชัดลึก อ้างถึงข้อมูลจาก เครือข่ายสภาประชาชน 4 ภาค ระบุว่า ที่ดินส่วนใหญ่ใน จ.นครราชสีมา อยู่ในมือนักการเมืองและนักธุรกิจไม่กี่ราย ขณะที่คนอีกมากที่รายได้น้อย ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองแม้เพียงตารางนิ้วเดียว
ชัดเจน!..ไม่ว่าคนเมืองหรือชนบท ต่างก็โดนพิษ “ความเหลื่อมล้ำ” โดยทั่วกัน!!!
ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ปัญหาผู้ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำประเด็นต่างๆ ที่ผ่านมาก็มีเป็นระยะๆ แต่ข้อสังเกต คือประเทศไทยยังขาดกลไกที่จะช่วยเหลือคนเหล่านี้ที่รวดเร็ว ทั่วถึงและเพียงพอ จึงทำให้เกิดเรื่องเศร้าขึ้น
“ในภาพใหญ่ เรื่องของการดูแล เรื่องสวัสดิการของประเทศไทย ผมว่ามันยังขาด คือมันต้องมีระบบที่จะช่วยคนตกทุกข์ ได้ยาก ระบบแบบนี้ของไทยขาดมากเลย” ดร.สมชัย กล่าว
ขณะที่ นายประยงค์ ดอกลำใย ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ในฐานะนักเคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านที่ดิน มองประเด็นนี้ว่า ที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงการมีที่ดิน ทั้งในแง่ที่อยู่อาศัยและที่ทำกินประกอบอาชีพ เห็นได้จากหลายรายต้องเช่าที่ดินบ้าง หรืออยู่กันแบบชุมชนแออัดในที่ดินว่างเปล่าบ้าง
จนวันหนึ่งเมื่อรัฐทำโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ บริเวณนั้นก็จะกลายเป็น “ทำเลทอง” ให้บรรดากลุ่มทุนใหญ่ๆ จ้องจะนำที่ดินไปใช้ทำธุรกิจ ผลก็คือมีการใช้อำนาจต่างๆ มาข่มขู่กดดัน จนคนที่อยู่มาแต่เดิมต้องย้ายออกไป ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อคนกลุ่มดังกล่าว เช่น ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพิ่มขึ้น สุขภาพแย่ลงเนื่องจากพักผ่อนน้อย เพราะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปทำงานไกลขึ้น หรือที่อยู่ใหม่ไม่ใช่ทำเลค้าขายที่ดีเหมือนที่เดิม เป็นต้น
แม้ในทางกฎหมายย่อมมีสิทธิ์ทำได้..แต่คำถามคือ “แล้วความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน?”!!!
“ที่ดินมันกระจุกตัว แล้วมันก็มีคนปั่นให้เกิดทำเลทอง ก็เอามาทำที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ขึ้นมา พอทำเลดีขึ้น หรือพอมีโครงการพัฒนาอะไรเข้ามา ก็มีการเพิ่มค่าเช่า ก็จะเพิ่มภาระให้กับผู้เช่า หรือบางที่ทำเป็นพื้นที่ธุรกิจให้เช่า ก็กลายเป็นแหล่งทำกิน แหล่งรายได้ พอมีการเปลี่ยนแปลงโดยที่ไม่มีทางเลือกอื่น ก็เหมือนสิ้นไร้ไม้ตอก ก็เหมือนกับคนเคยทำงานแล้วถูกไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรม ก็ทำให้คนไม่เห็นทางออก ไม่เห็นอนาคตตัวเอง
อย่างสลัม พอมีโครงการอะไรมาก็จะย้ายเขาออกไป แล้วพอต้องย้ายออกไปไกลแหล่งที่ทำกิน สมมุติเขาทำงานอยู่กลางเมือง พอถูกไล่ที่ก็ต้องไปอยู่ชานเมือง คนจนก็ถูกเบียดขับออกไปแบบนี้ แล้วก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานที่เดิม หรือไม่ก็ต้องไปหาที่ทำมาหากินใหม่ มันก็กระทบกับวิถีชีวิตคนอยู่ตลอดเวลา” นายประยงค์ ระบุ
ประเด็นต่อมา เมื่อภาครัฐจะมีการจัดระเบียบพื้นที่ เช่นหาบเร่แผงลอย หรือมีแผนการพัฒนาสาธารณูปโภคในเขตเมือง เช่นรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ สิ่งที่เกิดขึ้นเสมอ ด้านหนึ่งคนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งมักเป็นผู้มีรายได้น้อยหรือชุมชนเก่าที่ต้องถูกย้าย จะประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรม กับอีกด้านหนึ่งคนกลุ่มที่ต้องการเห็นการพัฒนา ซึ่งมักเป็นกลุ่มที่มีฐานะดีขึ้นมาหน่อย จะสนับสนุนนโยบายของภาครัฐ เพราะมองว่าทำให้เมืองดูเรียบร้อยสวยงาม
นักเคลื่อนไหวเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ รายนี้ กล่าวว่า ในความเป็นจริง ที่เมืองนั้นอยู่ได้ส่วนหนึ่งมาจากกิจกรรมต่างๆ ของคนระดับล่าง เนื่องจากคนกลุ่มนี้เข้ามาทำงานที่คนชั้นกลาง หรือชั้นสูงไม่ทำ และเมื่อมีคนกลุ่มนี้เป็นจำนวนมาก ย่อมเกิดสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อมารองรับ เช่น ร้านค้าทั้งแบบแผงลอยหรือที่เป็นตึกแถวสภาพเก่าให้เช่าขายของ ตลอดจนที่พักอาศัยราคาถูกแต่มีสภาพแออัด เป็นสลัมที่ดูแล้วอาจจะไม่น่ามอง เป็นต้น
ดังนั้นท้ายที่สุดแล้ว..โจทย์ใหญ่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็คือจะทำอย่างไรให้คนทุกชนชั้น สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมเมืองได้อย่างปรองดอง ไม่เกิดความขัดแย้งกัน?
“ต้องเข้าใจว่าสังคมหรือเมืองมันอยู่ได้เพราะคนจนนะ ถ้าไม่มีแรงงานของคนจนเหล่านี้ ทั้งงานก่อสร้าง งานกวาดถนน งานทำความสะอาดทั้งหลายแหล่ งานพวกนี้เป็นงานคนจนทำ คนรวยหรือคนชั้นกลางไม่ทำ เราจะหาแรงงานนี้จากไหน? แล้วถ้าเขาต้องถูกย้ายไปไกลๆ ต้องเสียค่ารถ ต้องตื่นตีสามตี่สี่เข้ามาทำงาน รถก็ติด มันก็เป็นภาระ เพราะคนพวกนี้ไม่มีรถส่วนตัวอยู่แล้ว ต้องใช้รถโดยสารสาธารณะซึ่งเราก็รู้ว่ามันมีปัญหา คือเราต้องมีความใจกว้าง ว่าคนจนกับคนรวยจะอยู่ร่วมกันได้ยังไง? ก็ต้องมีความเอื้ออาทรกัน เพราะถ้าเขามีทางเลือก เขาก็คงไม่อยู่สลัม
แล้วอย่างแผงลอย คือคนระดับล่างคงไม่มีโอกาสไปหาของกินในห้างแน่ๆ มันก็ต่างพึ่งพาอาศัยกัน เพราะตรงนี้ทำให้ค่าครองชีพของคนเหล่านี้ต่ำลงด้วย หมายถึงการมีอาหารราคาถูก ถ้าคุณไปกินในห้าง มื้อนึงก็เป็นร้อยเป็นพัน แต่ตรงนี้มันคือแหล่งอาหารและสินค้าราคาถูก เป็นทางเลือกให้คนระดับล่างด้วย มันไม่ใช่แค่เรื่องของคนทำมาค้าขายอย่างเดียว แต่มันเป็นวงจรชีวิตของคนระดับล่าง ซึ่งมีรายได้น้อย” นายประยงค์ กล่าวย้ำ
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำลักษณะนี้ ในระยะยาว นายประยงค์เรียกร้องให้ภาครัฐ 1.โครงการพัฒนาต่างๆ ต้องใช้การเวนคืนให้น้อยที่สุด และใช้เป็นทางเลือกสุดท้ายหากไม่มีทางอื่นแล้ว ซึ่งการออกแบบทางวิศวกรรมสามารถทำได้ 2.สำหรับพื้นที่ที่ต้องเวนคืนจริงๆ รัฐต้องเปิดโอกาสให้ชุมชนที่ถูกย้ายร่วมหารือ เพื่อให้ชาวชุมชนได้มีโอกาสเลือกย้ายไปอยู่ในที่ที่มีผลกระทบต่อตนเองน้อยที่สุด ต่างจากการเวนคืนแบบเดิมๆ ที่ให้เงินก้อนหนึ่งไป ซึ่งบางทีก็ไม่สามารถหาที่อยู่ใหม่ที่เหมาะสมได้
3.ระบบขนส่งมวลชน ต้องขยายให้ทั่วถึงอย่างมีคุณภาพในราคาที่ไม่แพงเกินไป เชื่อมโยงแหล่งที่อยู่อาศัย สถานที่ทำงาน ตลอดจนย่านการค้าต่างๆ เข้าด้วยกัน หรือพื้นที่ที่จะย้ายผู้ค้าแผงลอย-ร้านค้ารายย่อยให้ไปค้าขาย หรือย้ายคนให้ไปอยู่อาศัย ต้องมีระบบขนส่งมวลชนเข้าถึงด้วย เพื่อให้เกิดความสะดวกในการเดินทาง และ 4.ปฏิรูประบบการถือครองที่ดิน ให้คนทั่วไปโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย เข้าถึงสิทธิการเป็นเจ้าของที่ดินได้มากขึ้น มิใช่เป็นแต่เพียงผู้เช่าซึ่งต้องอยู่กับความไม่มั่นคงตลอดเวลา
“ต้องพยายามส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยได้เป็นเจ้าของร้าน เป็นเจ้าของที่ดิน แต่ไม่ต้องไปเข้ากับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือรัฐจะเป็นคนจัดให้คนยากจน คนรายได้น้อยเข้าไปประกอบธุรกิจ มันก็จะแบ่งเบาภาระค่าเช่าลงไป ก็เหมือนแฟลตของการเคหะ ที่ทำให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อย่างมั่นคง คือรัฐต้องลงทุนไปก่อน คือถ้าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เขาทำได้ ทำไมรัฐจะทำไม่ได้?
ส่วนโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ การออกแบบต้องใช้พื้นที่ของประชาชนให้น้อยที่สุด ซึ่งในทางวิศวกรรมทำได้อยู่แล้ว แล้วมันควรจะมีทางเลือกด้วย ไม่ใช่แค่เวนคืนอย่างเดียว เช่น การจัดหาที่อยู่อาศัยใหม่รองรับ โดยที่ให้เขาเลือกทำเลเอง ไม่ใช่เอาเงินไปแล้วก็จบ ซึ่งบางทีมันก็ไม่สามารถหาที่แห่งใหม่ได้” ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ฝากทิ้งท้าย
จากเหตุสลดครั้งนี้ คงถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐต้องทบทวนนโยบายโครงการขนาดใหญ่กันจริงๆ จังๆ เสียที ว่าจะปล่อยให้ความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มทุนใหญ่ที่จ้องเข้าไปหาผลประโยชน์ ในพื้นที่ใกล้เคียงจุดที่โครงการนั้นเกิดขึ้น กับคนทั่วไปโดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อย ดำรงชีวิตหาเช้ากินค่ำในบริเวณนั้นมาช้านานแต่ไม่มีที่อยู่อาศัยหรือทำกินเป็นของตนเอง ซึ่งกลุ่มหลังนี้เองมักต้องถูกไล่ที่แบบลอยแพ ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ต่อไปหรือไม่?
หรือจะปล่อยให้ต้องมีใครตาย-มีศพเพิ่ม เพื่อสังเวย “ภาวะบีบคั้น” เช่นนี้ขึ้นอีก!!!
และต้องไม่ลืมว่า..ช่องว่างทางสังคมที่ห่างกัน คือ “เชื้อไฟแห่งความขัดแย้ง” ที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี