กลายเป็น “ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์” ขึ้นมา สำหรับปัญหา “ช้างป่า” ออกอาละวาด “ฟาดงวง ฟาดงา” ทำร้ายนักท่องเที่ยวที่แห่ขึ้นไปทัศนาจรบน “อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่” ขณะที่บางพื้นที่ก็ปรากฏข่าว “ช้างไพร” ออกกัดกินทำลายพืชผลการเกษตรของชาวบ้านอยู่เนืองๆ ซึ่งในส่วนของ “เขาใหญ่” เจ้าหน้าที่ได้ “คิด วิเคราะห์ แยกแยะ” ก่อนลงความเห็นเบื้องต้นว่ามีสาเหตุจาก “ความเครียด”
“ช้างป่าน่าจะเครียด เพราะระยะนี้คนมาท่องเที่ยวที่เขาใหญ่กันมาก จนทำให้การจราจรหนาแน่น ช้างไม่สามารถเดินไปไหนได้ จากปกติที่ช้างจะออกหากิน แต่ช่วงท่องเที่ยวมีรถหนาแน่นทั้งขาขึ้น และลง ทำให้ช้างเครียด” เสกสรรค์ เที่ยงพลับ ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ กล่าว
หากพิเคราะห์จากการวิเคราะห์ของเจ้าหน้าที่ดูเหมือน “ต้นเหตุ” ความเครียดที่เกิดขึ้นกับช้างป่ามาจากการที่ “มนุษย์” บุกรุกเข้าไปในป่าอันเป็นเสมือน “บ้าน” ของพวกมัน ซึ่งหลายพื้นที่ในเมืองไทยที่มีปัญหา “ช้างป่า VS คน” วิวาทกัน ก็มีต้นเหตุมาจาก “ต้นตอ” เดียวกันนี้
ขณะเดียวกันปรากฏการณ์ของ “ช้างป่า” ที่เขาใหญ่ ซึ่งผู้คนบางส่วนสวมบทให้มันเป็น “อันธพาล” ยังนำมาซึ่งการพูดถึงการหา “มาตรการ” แก้ไขปัญหาดังกล่าวอีกครั้ง ทั้งที่ในความเป็นจริง.....
นี่ไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่กลับเป็น “ปัญหาใหญ่” ที่แก้ไม่ตก!!!
ข้อมูล กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า(WCS) ประเทศไทย ระบุว่า ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนและช้างป่ามีมานานแล้ว และเกิดขึ้นหลายพื้นที่ เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า “เขาอ่างฤาไน” ปี 2539-2549 มีช้างป่าเสียชีวิต 17 ตัว เป็นฝีมือมนุษย์ 11 ตัว หรือที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า “สลักพระ” ก็มีปัญหาการบุกรุกทำลายพืชไร่ของช้างป่าทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนและไม่พอใจ ก่อนนำมาซึ่งการ “สังเวยชีวิต” ของช้างป่า
นอกจากนี้ระหว่างปี 2555-2557 มีช้างป่าถูกฆ่าตายรวม 10 ตัว โดยปี 2555 ช้างป่า “แก่งกระจาน” ถูกฆ่าแล้วเผา 3 ตัว ส่วนปี 2556 มีช้างอายุมากกว่า 10 ปี 5 ตัวถูกยิงตายด้วยกระสุนปืนไรเฟิล เป็นต้น
นี่เป็นบางตัวอย่างของสถานการณ์ความขัดแย้ง ซึ่งสาเหตุหลักๆมาจากช้างป่าสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย ป่าธรรมชาติถูกบุกรุกเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของคน นอกจากนั้นยังกลายเป็น “แหล่งท่องเที่ยว” ที่ผู้คนนิยมไปพักผ่อน ทัศนาจร ซึ่งหลายฝ่ายพยายามหาทางแก้ไขปัญหา “เฉพาะหน้า” แต่ไม่เคย “เบ็ดเสร็จ” ทำให้ปัญหาวนเวียนไม่รู้จบ
“ปัญหาช้างป่าที่เห็นออกมาทำร้ายผู้คนจะแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ เช่น เขาใหญ่ เกิดจากมนุษย์ตัดถนนขึ้นไปและเข้าไปทำกิจกรรมในพื้นที่อาศัยของช้างป่า ซึ่งช่วงนี้เป็นฤดูแล้ง ในป่าขาดแคลนอาหาร และน้ำ ช้างป่าก็ต้องออกมาในบริเวณที่มีประชาชนอยู่ หรือจุดท่องเที่ยว ที่มีแหล่งอาหารสมบูรณ์กว่า แล้วเกิดกระทบกระทั่งกันขึ้น” ผศ.ดร.รองลาภ สุขมาสรวง อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยาป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าว
ขณะที่ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอื่นๆ ส่วนใหญ่มาจากการ “บุกรุก” พื้นที่ป่าของคน ที่เข้าไปล่า เข้าไปจุดไฟเผาป่า เป็นต้น เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า “เขาอ่างฤาไน” แถบคลองสวาย ตรงนี้มีคนเข้าไปบุกรุกแผ้วถางป่าที่เป็น “บ้าน” ของช้างป่า จนเหลือเพียงลำห้วยที่ “แห้งขอด” สุดท้ายช้างป่าก็ต้องออกมาหากินในพื้นที่เกษตรกรรมของมนุษย์ ซึ่งเดิมก็เป็นที่อยู่ที่หากินของเขา ก็กลายเป็นความขัดแย้งเกิดขึ้น
สำหรับประเทศไทยมีพื้นที่ “เสี่ยง” ต่อการเผชิญหน้าระหว่างคนกับช้างป่าอยู่ราว 8 แห่ง แต่ที่ “รุนแรงที่สุด” เห็นจะเป็นที่เขาอ่างฤาไน จุดนี้ครอบคลุมพื้นที่อนุรักษ์อยู่ 7-8 แห่ง เช่น คลองสวาย เขาสอยดาว น้ำตกคลองแก้ว เขาชะเมา เป็นต้น เคยเป็นป่าผืนเดียวกัน แต่พอมีการตั้ง “อ.แก่งหางแมว” จ.จันทบุรี ก็มีปัญหาเผชิญหน้าระหว่างคนกับช้างเกิดขึ้น เพราะพื้นที่นี้เคยเป็น “ใจกลาง” ที่ช้างป่าเคยอาศัยอยู่
“ทางแก้” ที่อ่างฤาไน คือ ควรหาพื้นที่ที่เหมาะสม อาจเป็น “หุบ” ล้อมรอบด้วยแนวภูเขา แล้วไล่ช้างกลับเข้าไปในหุบ จากนั้นก็ใช้วิธี “กึ่งเลี้ยง” ทำรั้วกั้นเป็นแนวยาวไม่ให้ช้างป่าออกมาเดินในพื้นที่เกษตร แล้วจัดหาอาหารให้ ที่ผ่านมามีความพยายามแก้ปัญหาด้วยการขุด “คู”
แต่ปัญหา คือ ช้างป่าบางส่วนที่อยู่นอกพื้นที่มันเข้าไปไม่ได้ ก็อยู่นอกพื้นที่ อยู่ในสวนชาวบ้านถาวรเลย และช้างป่าบางส่วนก็ข้าม “คู” ออกมาในช่วงที่ป่าแห้งแล้ง ซึ่งการขุดคูอาจไม่เพียงพอ อาจต้องเพิ่มแนว “รั้วไฟฟ้า” เพื่อป้องกันเพิ่มขึ้น
หรืออย่าง “สลักพระ” ปัญหามาจากคนที่ไปสร้างเส้นทางถนน “หนองหอย-ท่ากระดาน” ซึ่งแนวถนนเส้นนี้เป็นพื้นที่ที่ช้างป่าเคยใช้ และยังใช้เดินลงมา เพื่อไปแหล่งน้ำบริเวณเขื่อนศรีนครินทร์ พอถนนเส้นนี้เกิดขึ้นมาพื้นที่รอบๆก็ถูก “จับจอง” เป็นไร่ หรือรีสอร์ท พอช้างป่าลงมาก็เกิดปัญหาเผชิญหน้า.....
ทางแก้บริเวณนี้อยู่ที่ว่า “ใจกล้า” หรือไม่!!!
“ถ้าภาครัฐใจกล้าก็เวนคืนพื้นที่ตามแนวถนนนี้ไปเลย งดใช้ชั่วคราวเป็นบางช่วง เชื่อว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน แต่มันเป็นไปไม่ได้ วิธีที่เป็นไปได้ คือ ทำเส้นทางเชื่อมต่อป่าสลักพระกับเขื่อนศรีนครินทร์ด้านบน เพื่อให้ช้างป่าได้เดิน แทนที่จะออกมาทางหนองหอย ที่ถูกคนจับจองไปหมดแล้ว ตรงนี้น่าจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้” ผศ.ดร.รองลาภ กล่าว
ผศ.ดร.รองลาภ ยังกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาในภาพรวม ว่า คิดแบบง่ายๆ คือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะมองพื้นที่ที่ยังมีช้างป่าอยู่ในปัจจุบันเป็น “กลุ่มป่า” แล้วประกาศเป็นพื้นที่อนุรักษ์ หรือสงวนพันธุ์ช้าง จากนั้นก็ทำ “เส้นทางธรรมชาติ” เชื่อมต่อกลุ่มป่า เพื่อให้พื้นที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ช้างป่าจะได้รู้สึกว่าที่อยู่อาศัยกว้างขึ้น และลงมาพื้นที่ราบที่เป็นที่อยู่อาศัยของคนน้อยลง คือแทนที่จะเชื่อมถนนอย่างเดียว เราก็หันมา.....
“เชื่อมป่า เชื่อมช้าง”!!!
ถามว่า “ต้นเหตุ” ของการเผชิญหน้าเป็นเพราะช้างป่า “เกเร”???
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องช้างป่า “ฟันธง” ว่า คนต่างหากที่เป็นต้นเหตุ ไม่ได้มาจากช้างป่าเกเร เพราะเมื่อบ้าน หรือที่อยู่อาศัยถูกรุนราน ช้างป่าก็ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ต้นเหตุของปัญหาจึงมาจากการบุกรุก มาจากการใช้พื้นที่ของคนที่ไม่มีการวางแผน ไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับช้างป่า แต่ถ้ามีการจัดการพื้นที่ที่แน่นอน.....
“คน ช้าง ป่า” ก็จะอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี