คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “โซเชียลมีเดีย” (Social Media) กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมยุคนี้ไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะเป็นอารมณ์แบบใด สุข ทุกข์ เหงา เศร้า โกรธ ฯลฯ ล้วนต้องระบายลงบนพื้นที่ออนไลน์ พร้อมกับรอคอยว่าคนอื่นๆ จะเข้ามาแสดงความคิดเห็นต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนอย่างไรบ้าง อย่างใจจดใจจ่อ
ปรากฏการณ์หนึ่งที่น่าสนใจ คือการแชร์ “ภาพ-คลิป” ซึ่งบอกเล่าถึงพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือสิ่งไม่ชอบมาพากลในสังคม จากนั้นก็จะมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย ส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนไปในทาง “ด่าทอ” และบ่อยครั้งมีการใช้ “วาทกรรมแห่งความเกลียดชัง” (Hate Speech) มากกว่าที่จะเป็นการติชมอย่างสร้างสรรค์
จนบางครั้งเรื่องก็ “กลับตาลปัตร” เมื่อความจริงปรากฏ..จาก “จำเลย” กลายเป็น “ผู้บริสุทธิ์”!!!
แต่ “คำพิพากษา” ของสังคม..ได้ทำลาย “ชื่อเสียง” และ “ชีวิต” จนพังพินาศไปแล้ว!!!
ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิจัยชำนาญการสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.) กล่าวถึงปรากฏการณ์นี้ว่า เป็นเพราะเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในราคาถูก “ใครๆ ก็ทำได้ ขอเพียงมีมือถือสมาร์ทโฟนสักเครื่อง” คนทั่วไปจึงรู้สึกว่าตนมี “อำนาจ” ที่จะใช้เทคโนโลยีนั้นบันทึกภาพและเสียงเหตุการณ์ใดๆ ก็ตามที่เขารู้สึกว่า “ไม่พอใจ-ไม่สบอารมณ์” จากนั้นก็ต้องรีบ “โพสต์-แชร์” ทันที เพื่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์
ข้อน่าเป็นห่วง..พฤติกรรมแบบนี้ สะท้อนถึงความ “เห็นอกเห็นใจ” ที่ลดลงหรือไม่?
“ทุกวันนี้คนขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นนะ คือโซเชียลมีเดียมันทำให้คนขาดการที่จะเข้าไปพูดจาปราศรัยกัน อย่างเมื่อก่อน เวลาเห็นอะไรไม่ดี อาจจะเข้าไปพูดว่าทำไมทำแบบนั้น ทำไมไม่ทำแบบนี้ แล้วโซเชียลมีเดียนี่มันทำให้เขารู้สึกว่าเขามีอำนาจที่จะตัดสินลักษณะนิสัยของคนอื่น แล้วเทคโนโลยีนี่มันทำให้คนเราพูดและคิดได้แบบไม่ต้องไตร่ตรอง อย่างเมื่อก่อนนี่เราก็จะต้องเก็บเอามาคิดที่บ้าน แต่ตอนนี้เทคโนโลยีมันทำให้เราระบายได้ง่าย
ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ มันก็เลยทำให้คนทุกวันนี้มักที่จะตัดสินคนอื่น มักที่จะบันทึกภาพเหล่านั้น เพราะรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจที่จะพูด ที่จะตัดสินทุกอย่างออกไป แล้วก็รู้สึกว่ามันมีข้อดี คือเวลาพูดออกไปนี่ตัวเองเป็นฝ่ายถูกนะ คือเห็นไหม? ฉันเป็นคนดีนะ ฉันกำลังประจานหรือประณามอะไรแบบนี้” อาจารย์ธาม กล่าว
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังเรื่องราวต่างๆ ถูกเผยแพร่บนโลกออนไลน์ นักวิชาการด้านสื่อใหม่ รายนี้ มองว่ามีได้สองมุม มุมบวก คือการที่ผู้คนได้รับรู้เรื่องราวไม่ชอบมาพากล หรือพฤติกรรมบางอย่างที่อาจก่อความเดือดร้อนให้สังคม แต่ใน มุมลบ การเผยแพร่ลักษณะนี้ บางครั้งก็หมิ่นเหม่ที่จะเข้าข่าย “ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล” รวมถึงไปสร้างกระแสแห่งความเกลียดชัง แทนที่จะนำไปสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง
กลายเป็นเพียงแค่ “ที่ระบายอารมณ์” เท่านั้น!!!
“เพจบางเพจไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อการแก้ไขปัญหา แต่มันเป็นพื้นที่ของการระบายอารมณ์ ความเกรี้ยวกราดของสังคมโซเชียลมีเดีย ที่ไม่รู้ว่าจะไประบายตรงไหน ดังนั้นพอหน้าเพจพวกนี้โพสต์รูปมนุษย์ลุง มนุษย์ป้า มนุษย์จอดรถ หรือคนพลอดรักบนรถเมล์ อะไรแบบนี้ ก็กลายเป็นว่ามีการระดมความคิดเห็นแบบเกรี้ยวกราดลงในหน้าเพจ ทำให้สังคมมันเต็มไปด้วยความโมโหโกรธา อันนี้เป็นผลในแง่ลบ แล้วในทางกฎหมาย มันอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หรือเข้าข่ายหมิ่นประมาท เพราะไม่ได้มีการปิดหน้าคาดตาผู้ถูกพาดพิง
แล้วที่ผมสังเกต สื่อมวลชนก็มักจะเอาภาพเอาคลิปพวกนี้ไปเล่นข่าวต่อ ซึ่งบางสำนักก็ไม่ได้เล่นในประเด็นที่มันเกินไปกว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่แล้วในคลิปนั้น มันก็ทำให้สังคมเราเสพติดคลิปอย่างบ้าคลั่ง ทั้งที่จริงๆ แล้วถ้าเป็นเมื่อก่อน คลิปแฉนี่จะเป็นข่าวสืบสวนสอบสวน สื่อมวลชนมืออาชีพก็จะต้องไปตามหา ซึ่งเป็นคลิปหายาก เช่นต้องแอบถ่าย แต่ทุกวันนี้ คลิปแฉกลายเป็นเรื่องของการประณามและประจาน แต่ไม่ได้นำไปสู่การแก้ไขปัญหา ผมว่ามันก็เป็นแค่กระแสวูบวาบฉาบฉวย เป็นแค่ปรากฏการณ์อารมณ์ของคนในปัจจุบันเท่านั้นเอง” อาจารย์ธาม ระบุ
นอกจากตัวผู้เผยแพร่ภาพ-คลิปแล้ว อีกกลุ่มที่น่าเป็นห่วง คือบรรดาผู้คนที่เข้าไปแสดงความคิดเห็น ที่มักพบว่าความเห็นส่วนใหญ่เต็มไปด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ใช้อารมณ์เข้าใส่กันมากกว่าโต้แย้งกันด้วยหลักการและเหตุผล อาจารย์ธาม กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า สังคมทุกวันนี้กลายเป็นสังคมประเภท “เสพติดอารมณ์” พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ความเห็นประเภทมีเหตุมีผล มีข้อเท็จจริงอ้างอิงประกอบ มักจะไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับความคิดเห็นประเภทประจานหรือด่าทอ
ข้อมูล-ข้อคิดเห็นในโลกออนไลน์ จึงดู “ปริมาณสูง” แต่ “คุณภาพต่ำ” ไปโดยปริยาย!!!
“การถ่ายรูปโพสต์แฉ หรือการประจาน 1.เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือเปล่า เพราะบางครั้งไปเปิดเผยอัตลักษณ์ เช่นใบหน้าหรือสถานที่ทำงาน 2.ต้องระวังเรื่องหมิ่นประมาท เพราะต้องไม่ลืมว่าเราเน้นแฉพฤติกรรม ไม่ใช่แฉตัวบุคคล บางครั้งโพสต์ของเราอาจเข้าข่ายหมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้าย ทำให้คนอื่นเสียหาย 3.อยากให้ระวังเรื่องการสร้างความเกลียดชัง เพราะเวลาโพสต์ไปแล้ว คอมเมนต์ต่างๆ ที่ต่อท้าย จะทำให้คนที่เข้ามาอ่านเกิดความเกลียดชัง ด่าทอบริภาษกันเปล่าๆ ซึ่งจะทำให้บรรยากาศในโซเชียลมีเดียไม่ค่อยดี
4.ต้องปกป้องสิทธิของผู้อื่น คือเข้าใจว่าเราอยากจะแฉ แต่คลิปบางอย่างมันมีความรุนแรง หวาดเสียวน่ากลัว พวกคลิปคนตาย คลิปตบตี คลิปโป๊อะไรแบบนี้ ต้องระมัดระวัง ต้องสกรีนก่อน ใจเย็นครับอย่างเพิ่งแฉ ทางที่ดีส่งให้นักข่าวก่อนได้ไหม? สมัยนี้ส่งให้นักข่าวง่ายจะตาย ทำไมต้องทำตัวเองให้เป็นคนแฉตลอดเวลา? 5.สำหรับคนที่ดูคลิปแล้วจะแชร์ต่อ บางครั้งดูผ่านๆ ไม่ต้องแชร์ต่อก็ได้ พวกคลิปที่อุจาดอนาจาร ไม่ต้องไปกดไลค์ด้วยซ้ำไป เพราะมันทำให้คลิประบาดไปอย่างรวดเร็ว
6.บรรดาเจ้าของเพจแฉทั้งหลาย ต้องระวังอย่าไปทำให้เรื่องมันบานปลายโดยไม่จำเป็น ผมเข้าใจเจตนาดีว่าอยากพูดถึงปัญหา แต่อย่าไปลามปามถึงคนในคลิป หรือชื่อเสียงเรียงนาม อย่าลืมว่ามันมีกฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัว กฎหมายเรื่องหมิ่นประมาท ให้พูดถึงปัญหาจะดีกว่า และ 7.จะโพสต์หรือคอมเมนต์อะไร พยายามหาข้อเท็จจริง เสนอแนะวิธีแก้ไขปัญหา จะดีกว่าการใช้อารมณ์เกรี้ยวกราดด่าลงไป” นักวิชาการ สวส. กล่าวย้ำ
อีกด้านหนึ่ง ในแง่กฎหมาย ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคอมพิวเตอร์ ฝากเตือนว่า การเผยแพร่ข้อมูลบนโลกออนไลน์ หากเป็นข้อมูลที่หมิ่นเหม่ต่อการทำให้ผู้อื่นเสียหาย อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) ว่าด้วยการนำเข้าข้อมูลที่เป็นเท็จ อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น นอกจากนี้ เจ้าของหรือผู้ดูแลเว็บไซต์-เว็บเพจ (Webmaster หรือ Admin) หากปล่อยปละละเลยให้มีการเผยแพร่ดังกล่าวบนพื้นที่รับผิดชอบของตน มาตรา 15 ระบุว่าต้องรับโทษเท่ากับผู้กระทำผิดด้วย
โทษหนักเอาเรื่อง..เพราะ “จำคุกไม่เกิน 5 ปี” หรือ “ปรับไม่เกิน 100,000 บาท” หรือ “ทั้งจำทั้งปรับ”!!!
สำคัญกว่านั้น..ข้อหานี้ “ยอมความไม้ได้”!!!
“เวลาเราถ่ายแล้วไปใส่ข้อความ จะเป็นการคอมเมนต์ด้วยตัวเอง หรือมีบุคคลอื่นมาคอมเมนต์ ตรงนี้เสี่ยงที่จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง เพราะความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เป็นความผิดอาญาที่ไม่สามารถยอมความได้ แล้วโทษค่อนข้างสูง จำคุกตั้ง 5 ปีนะครับ แล้วคนที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์ หรือโซเชียลมีเดีย ที่มีลักษณะการตั้งกระทู้ ถ้าปล่อยให้มีการตั้งกระทู้ที่มีการใส่ความบุคคลอื่น หรือเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จ ก็อาจเป็นความผิดในฐานผู้ให้บริการ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 15 ด้วยครับ” ไพบูลย์ ฝากทิ้งท้าย
มีผู้เคยกล่าวว่า “โลกออนไลน์คือสัญลักษณ์ของเสรีภาพ” เนื่องจากสื่อใหม่นี้ การเผยแพร่ข้อมูล บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ มนุษย์ทุกคนสามารถทำได้เพียงมีคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเท่านั้น ไม่ต้องผ่านบุคคลบางกลุ่ม เช่น ภาครัฐหรือสื่อมวลชนอย่างในอดีต ทว่า “เสรีภาพที่ไร้ความรับผิดชอบ” ก็อาจก่อความเดือดร้อนได้เช่นกัน ทั้งการเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะเป็นเรื่องเท็จ ถึงจะทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือหวังดี แต่บุคคลที่ถูกพาดพิงก็ได้รับความเสียหายแล้ว และยากจะแก้ไขให้เป็นดังเดิมได้แม้จะมีการขอโทษขอขมาภายหลังก็ตาม
หรือการใช้พื้นที่ออนไลน์เป็นที่ระบายอารมณ์ ด่าทอ ใช้ถ้อยคำปลุกเร้าความเกลียดชัง เพราะสำคัญผิดว่าเป็นโลกที่ “ไม่เห็นหน้า-ไม่รู้ตัวตน” จะทำอะไรจะพูดอะไรก็ได้ ท้ายที่สุดนานๆ เข้า ความรุนแรงนั้นก็จะซึมซับเข้าสู่จิตใจของใครก็ตามที่ได้อ่านข้อความนั้น และมีโอกาสที่นำติดตัวมาใช้กับโลกจริงในที่สุดด้วยความเคยชิน
เมื่อเทคโนโลยีเจริญแล้ว..จิตใจผู้ใช้ก็ต้องเจริญตามไปด้วย!!!
หาไม่แล้ว..เทคโนโลยีนั้นก็จะหันกลับมาทำลายผู้ใช้เองในที่สุด!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี