ร้านสะดวกซื้อ..บริการที่อยู่คู่สังคมไทยมากว่า 2 ทศวรรษ จากเดิมที่มีเพียงไม่กี่สาขาเมื่อครั้งเริ่มเปิดใหม่ๆ ปัจจุบันได้กระจายไปแทบจะทุกหัวมุมถนน ทั้งในเขต กทม. และต่างจังหวัด เรียกว่าที่ไหนมีชุมชนเกิดขึ้น ร้านลักษณะนี้ก็จะตามเข้าไปให้บริการด้วยเสมอ เพื่อตอบสนองวิถีชีวิตแบบ “ไม่เคยหลับ” ของคนยุคใหม่ที่มีกิจกรรมต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งก็มีผู้ประกอบการอยู่หลายเจ้า และล้วนแต่เป็นรายใหญ่ทั้งสิ้น
ด้านหนึ่ง ผู้คนมากมายได้ความสะดวกจากร้านค้าประเภทนี้ ทั้งอาหารมื้อด่วนแบบแช่แข็งที่สามารถอุ่นในเตาไมโครเวฟได้เพียงไม่กี่นาที สินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน ตลอดจนชำระค่าบริการต่างๆ ได้ทันที แต่อีกด้านหนึ่ง เบื้องหลังความสบายนี้ คือการทำงานของพนักงาน ชนิดที่ “หนักเอาเรื่อง” ซึ่งลูกค้าไม่ค่อยจะได้รับรู้เท่าใดนัก
“กรรมกรห้องแอร์” เป็นคำเปรียบเปรยที่หลายคนใช้เรียกงานนี้!!!
เรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับชีวิตอันยากลำบากของพนักงานร้านสะดวกซื้อ ไล่ตั้งแต่ “ไม่เคยได้กลับบ้านตรงเวลา” เพราะหลายครั้งเมื่อใกล้เวลาเลิกงาน มักเป็นเวลาที่จะมีสินค้ามาส่ง ซึ่งพนักงานกะที่เตรียมเลิกเงินจะต้องมาจัดเก็บให้เรียบร้อย ส่วนพนักงานกะถัดไปจะทำหน้าที่ขายของอยู่หน้าเคาน์เตอร์ , “ไม่มีโอที มีแต่โอฟรี” เป็นปัญหาที่ต่อเนื่องจากข้างต้น บ่อยครั้งที่ต้องทำงานเกินเวลาปกติ (8 ชั่วโมง) พนักงานมักไม่ได้ค่าล่วงเวลา และผู้ที่ทวงถามก็จะถูกตำหนิว่าไม่มีน้ำใจบ้าง ไม่มีจิตบริการบ้าง ,
“บังคับควงกะ” กรณีที่มีพนักงานไม่เพียงพอ พนักงานที่อยู่ก็อาจถูกขอร้องแกมบังคับให้ทำงานล่วงเวลาต่อไป , “บังคับทำยอด” สินค้าบางชนิดที่ต้องการให้ขายได้มากๆ ฝ่ายตรวจสอบก็จะกดดันให้พนักงานต้องขายให้ได้ จนบางครั้งพนักงานเองต้องใช้เงินของตนซื้อ เพื่อจะได้ไม่ถูกตำหนิ ยังไม่รวมปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น เช่น เมื่อเจอลูกค้ามารยาทแย่ๆ หรือพนักงานกะดึกที่อาจเจอลูกค้าเมาสุราพูดจาหาเรื่อง หรือเสี่ยงกับโจรผู้ร้ายเข้ามาจี้ปล้น
บางคนบอกว่า “คนที่ทำงานที่นี่ได้ ก็ไม่มีงานไหนที่ทำไม่ได้อีกแล้ว”!!!
แม้ประเทศไทยจะมี พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 อันเป็นกฎหมายที่คุ้มครองสวัสดิภาพของผู้ใช้แรงงาน ที่มีข้อปฏิบัติมากมาย เช่น มาตรา 24 ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราว ๆ ไป
ในกรณีที่ลักษณะหรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกันไป ถ้าหยุดจะเสียหายแก่งาน หรือเป็นงานฉุกเฉิน หรือเป็นงานอื่น ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง นายจ้างอาจให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้เท่าที่จำเป็น
และ มาตรา 61 ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา ในวันทำงานให้นายจ้างจ่ายค่าล่วงเวลาให้แก่ลูกจ้างอัตราไม่ น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน ตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ หรือไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตรา ค่าจ้างต่อหน่วยในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้สำหรับ ลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
แต่เรื่องเล่าว่าด้วยการทำงานของพนักงานร้านสะดวกซื้อข้างต้น กลับดำรงอยู่มาได้นับสิบปี!!!
และปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่..ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง!!!
น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวถึงประเด็นการให้ทำงานเกินเวลาปกติ แต่ไมได้ค่าจ้างล่วงเวลาว่า กรณีของพนักงานร้านสะดวกซื้อ ถูกเอารัดเอาเปรียบในลักษณะนี้ เป็นเรื่องที่ได้ยินมาเป็นระยะๆ ซึ่งเหตุที่ยังปรากฏมาถึงปัจจุบัน ทั้งที่มีกฎหมายแรงงานระบุเรื่องการจ่ายค่าจ้างไว้ชัดเจน อาจเป็นเพราะที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีพนักงานหรือลูกจ้างกล้าที่จะร้องเรียนเท่าไรนัก เมื่อผ่านไปนานๆ นายจ้างหรือหัวหน้างานจึงคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำได้
“สถานการณ์แบบนี้มักจะเกิดขึ้นกับสถานประกอบการอยู่ตลอดเวลา แล้วลูกจ้างที่เข้ามาทำงานก็ไม่ค่อยกล้าที่จะร้องเรียน แล้วสิทธิ์ที่ควรจะได้ตามกฎหมายมันก็ไม่เกิด เพราะเมื่อไม่กล้าแจ้ง ไม่กล้าร้องเรียน เขาก็จะปฏิบัติแบบนี้กับลูกจ้างไปตลอด คือนายจ้างเองก็พยายามจะหลีกเลี่ยง หรือละเมิดสิทธิลูกจ้างตลอด วันนึงกี่ชั่วโมง แล้วปีนึงกี่ชั่วโมง ตรงนี้คือที่เขาพยายามจะหลีกเลี่ยง” น.ส.วิไลวรรณ กล่าว
รองประธาน ครสท. กล่าวต่อไปว่า สำหรับแรงงานที่ถูกเอารัดเอาเปรียบในลักษณะดังกล่าว สามารถส่งเรื่องร้องเรียนมาที่ ครสท. ได้ เช่น หากเป็นใน กทม. ที่ตั้งสำนักงานคือ เลขที่ 503/20 ถ.นิคมมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 (อาคารพิพิธภัณฑ์แรงงาน) โทร. 02-2513173 หรือติดต่อได้ที่ภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ ซึ่งหลังได้รับเรื่องแล้ว ครสท. จะเข้าไปตรวจสอบ หากพบว่ามีมูลความจริง จะประสานไปยังหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป
ขณะที่ นายวรานนท์ ปีติวรรณ รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก ในแง่ของกฎหมาย แน่นอนว่าตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ให้หลักการไว้ชัดเจนว่า หากนายจ้างให้ลูกจ้างทำงานเกินกว่าเวลาปกติที่กำหนด (8 ชั่วโมงต่อวัน) เวลางานที่เกินมาต้องจ่ายเป็นค่าจ้างล่วงเวลาด้วย ดังนั้นหากแรงงานถูกเอารัดเอาเปรียบจุดนี้ ก็สามารถร้องเรียนได้ที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หรือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทั่วประเทศ
แต่ใน ส่วนที่สอง รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อธิบายเพิ่มเติมว่า ปกติแล้วกิจการร้านสะดวกจะมีอยู่ 2 ประเภท คือ 1.บริษัททุนใหญ่เจ้าของชื่อร้านเป็นผู้ดำเนินการเอง กับ 2.บุคคลอื่นซื้อสิทธิ์การตั้งร้าน (แฟรนชายส์-Franchise) ไปประกอบการ ซึ่งเท่าที่เคยพูดคุยกับผู้ประกอบการรายใหญ่บางราย ก็พบว่าพยายามทำตามกฎหมาย และเข้าใจถึงสิทธิของพนักงานเป็นอย่างดี
ดังนั้นจึงตั้งข้อสังเกตว่า กรณีที่มีการร้องเรียน อาจเป็นร้านลักษณะแฟรนชายส์หรือไม่? เพราะผู้ซื้อสิทธิ์เป็นผู้บริหารเอง จึงเป็นไปได้ว่าคงจะเคยชินกับระบบธรรมเนียมเก่าๆ ที่นิยมให้ลูกจ้างทำงานเกินเวลาแล้วไม่จ่ายค่าจ้าง โดยคิดว่าเป็นเรื่องของน้ำใจมากกว่าสิทธิของแรงงาน
“ถ้าเกินเป็นชั่วโมงขึ้นไป มันก็ต้องให้ลูกจ้างเขานะ คือจริงๆ เนี่ย ถ้าเกินไปจากเวลาปกติ มันไม่มีตรงไหนบอกหรอกว่าต้องกี่นาที แต่หลักคิดมันคือต้องจ่ายทันทีหากทำงานเกินเวลาปกติ จริงๆ คิดเป็นนาทีก็ยังได้ แล้วถ้ามีกรณีแบบนี้ ให้ร้องเรียนที่กรมสวัสดิการได้เลย
แต่ทีนี้ร้านพวกนี้มันจะมี 2 ลักษณะนะ ร้านแบบนึงคือบริษัทแม่บริหารเองเลย กับอีกแบบนึงคือคนเป็นเจ้าของตึกแล้วไปซื้อแฟรนชายส์มา ฉะนั้นลักษณะของนายจ้าง ก็จะมีทั้งนายจ้างที่เป็นของบริษัทแม่ กับที่เป็นเอกชนอื่นๆ ซึ่งถ้าให้ผมเดา ตรงนี้น่าจะเป็นร้านแฟรนชายส์หรือเปล่า? คือแบบเด็กของฉัน คนของฉัน ฉันจ้างมา ใช้มันดูสต๊อกของต่อสักชั่วโมงจะเป็นไร? เขาก็จะคิดแบบนี้ แบบบ้านๆ เถ้าแก่ๆ ไง
แต่เวลาคนนอกเข้าไปก็ไม่รู้หรอก เพราะแต่งตัวเหมือนกัน อย่างผมนี่ก็คุยกับผู้บริหารของเจ้าใหญ่อยู่เหมือนกันนะ เพราะมีอะไรก็ประสานกัน ภายใต้หลักคิดของเขา เขาค่อนข้างจะเน้นเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมอยู่นะ การปฏิบัติตามกฎหมาย ลงรายละเอียดค่อนข้างจะดีทีเดียว” นายวรานนท์ ฝากทิ้งท้าย พร้อมทั้งย้ำว่า หากใครมีเบาะแสว่าร้านใดมีพฤติกรรมดังกล่าว ขอให้แจ้งมาได้ทันที
มุมหนึ่ง กิจการร้านสะดวกซื้อมอบความสะดวกสบายให้ชีวิตคนเมืองในปัจจุบัน แต่อีกมุมหนึ่ง มีเรื่องราวของการทำงานหนักของพนักงาน และบางครั้งนอกจากจะหนักแล้วยังถูกเอารัดเอาเปรียบอีกด้วย ซึ่งก็เป็นอีกปัญหาที่ต้องแก้ไข อนึ่ง..ถึงแม้จะเป็นร้านที่บุคคลอื่นซื้อแฟรนชายส์ไปทำเอง บริษัทแม่ที่ขายสิทธิ์ให้ ควรจะต้องเข้าไปกำชับดูแล ให้ดำเนินงานอย่างมีมาตรฐานตามกฎหมายด้วยหรือไม่?
เพราะการปล่อยปละละเลยให้มีคนนำชื่อร้านไปดำเนินการแล้วมีข้อบกพร่อง แม้บริษัทแม่ไม่ได้บริหาร แต่ลูกค้าย่อมไม่รู้ว่าร้านใดเป็นของใคร สุดท้ายแล้วก็จะทำให้ชื่อเสียงเสียหายกันไปทั้งหมด!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี