โง่-จน-เจ็บ..3 คำนิยามของ “ชาวนาไทย” นับจากอดีตถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ของคนที่การศึกษาน้อย ต้องฝากชีวิตไว้กับธรรมชาติที่ไม่แน่นอน หรือผลผลิตที่ได้ก็ถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง ลงท้ายจบที่การกู้หนี้ยืมสิน ทั้งจากสถาบันการเงิน และจากกลุ่มเงินกู้นอกระบบ มาหมุนใช้เพื่อทำนากันแบบปีต่อปี อย่างไม่จบไม่สิ้น
ข้อมูลจาก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่สอบถามชาวนาใน 7 จังหวัด ประกอบด้วย พิจิตร พิษณุโลก อุบลราชธานี ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา นครนายก และสุพรรณบุรี ว่าหลังได้รับเงินค่าจำนำข้าวเปลือก ประจำฤดูกาลผลิต 2556/2557 ที่จ่ายไประหว่างวันที่ 26 พ.ค. – 18 มิ.ย.2557 ไปแล้ว จะนำเงินก้อนนี้ไปทำอะไรบ้าง?
พบว่า ร้อยละ 69.1 ของชาวนาที่ได้รับเงิน ตอบว่าจะนำไปชำระหนี้ที่ค้างอยู่ โดยเป็นหนี้ในระบบร้อยละ 65.2 เช่น หนี้ ธ.ก.ส. กองทุนหมู่บ้านหรือสหกรณ์ และเป็นหนี้นอกระบบร้อยละ 3.9 รองลงมา ร้อยละ 21.1 เป็นการใช้จ่ายในครัวเรือน ประกอบอาชีพเสริม ร้อยละ 7.5 และ มีเพียงร้อยละ 2.3 เท่านั้น ที่ตอบว่าจะเก็บออม
คำถามที่ต้องคิดต่อ..อะไรทำให้พวกเขาต้องเป็นหนี้?
รัชนีบูรณ์ ชมภูผล ชาวนารายหนึ่งในพื้นที่ อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก บอกเล่ากับ “สกู๊ปหน้า 5” ถึงเส้นทางสู่การเป็นหนี้ของชาวนา เริ่มจาก ขั้นแรก..หากลุ่มรวมตัวกันให้ได้ 5 คน ขั้นที่สอง..ไปยื่นขอกู้เงินกับ ธ.ก.ส. ขั้นที่สาม..ครบปีแรก ต้องนำเงินไปใช้หนี้ ซึ่งหนี้งวดแรก ส่วนใหญ่แล้วสามารถใช้ได้ครบตามจำนวน ทำให้การกู้เงินในปีต่อไป สามารถขอวงเงินเพิ่มได้ เพราะถือว่ามีเครดิตดีแล้ว
รัชนีบูรณ์ เล่าต่อไปว่า หลังจากนี้ใครที่รู้จักประมาณตน ก็จะกู้ในจำนวนที่พอชำระหนี้ได้ ซึ่งคนกลุ่มนี้จะไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แต่สำหรับผู้ที่ประมาท เห็นว่าหลักเกณฑ์การอนุมัติของ ธ.ก.ส. ที่มุ่งช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ทำให้กู้ได้ง่ายๆ ก็จะกู้กันแบบไม่ประมาณตน และนำไปสู่การเป็นหนี้ในที่สุด
“พอครบปี ก็ถึงเวลาต้องไปจ่ายพร้อมดอกเบี้ย พอไปจ่ายเสร็จก็กู้ใหม่ ทีนี้ก็เหมือนว่าคุณเริ่มสร้างเครดิตแล้ว ก็เริ่มขยับ จากสามหมื่นเป็นหกหมื่น จากหกหมื่นก็เป็นหนึ่งแสน จากหนึ่งแสนก็เป็นแสนห้า ไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ดูกำลังเลย ศักยภาพของเขามันพอหรือไม่พอ คือปีสองปีแรกน่ะมันไม่มีปัญหาหรอก เงินต้นมันน้อย
ชาวบ้านเขาเห็นว่ามันกู้ง่ายไง เดี๋ยวพอถึงสิ้นปี ไม่มีเงินไปใช้ ธ.ก.ส. สมมติขายข้าวได้เจ็ดหมื่นห้า แต่ต้องใช้หนี้ ธ.ก.ส. หนึ่งแสน ถ้าพร้อมดอกก็ประมาณแสนสอง ทีนี้มันจะมีคนปล่อยกู้ เอาไหม? คิดร้อยละสองบาทต่อเจ็ดวัน ก็เอาเงินไปคืน ธ.ก.ส. ทีนี้ ธ.ก.ส. ก็จะให้กู้ใหม่ได้ ก็เลยกลายเป็นว่าเป็นหนี้พัวพันกันไปมา” รัชนีบูรณ์ กล่าว
สิ่งที่พบเห็นจนชินสำหรับชาวนารายนี้ อันเป็นเหตุของความล้มเหลวในชีวิตการทำนาของผู้คนจำนวนมาก คือ 1.ตั้งวิธีการผิด โดยไปมุ่งหา “กำไร” หรือรายได้หลังการขายข้าว ส่งผลให้เกิดการเร่งใช้ปุ๋ยและสารเคมีเพื่อเพิ่มผลผลิตเชิงปริมาณ ยิ่งเมื่อรัฐบาลยุคหลังๆ มีโครงการประชานิยม ไม่ว่าจะเป็นจำนำหรือประกันก็ตาม ก็ยิ่งเร่งให้มีข้าวไปเข้าโครงการมากๆ เพื่อหวังรับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ จนข้าวที่ได้ มีแต่ด้อยคุณภาพลงไปเรื่อยๆ
ไม่ต้องแปลกใจ..หากระยะหลังๆ ข้าวไทยจะขายยากขึ้นในตลาดโลก และมีกระทั่งเสียงร่ำลือว่า “ชาวนาปลูกข้าว แต่ไม่กล้ากินข้าวของตัวเอง” เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง!!!
หนทางที่ควรจะเป็น..รัชนีบูรณ์ ระบุว่า ต้องหาทาง “ลดต้นทุน” โดยเปรียบเทียบระหว่างการปลูกข้าวที่ใช้ปุ๋ยและสารเคมี ที่ทำกันอยู่ทั่วไป กับการปลูกข้าวแบบ “เกษตรอินทรีย์” ที่ไม่ใช้สารเคมีใดๆ เป็นตัวเร่ง-ตัวช่วย ซึ่งเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว ดูผิวเผิน การปลูกแบบใช้สารเคมีน่าจะดีกว่า เพราะได้ผลผลิตมากกว่า แต่หากมาดูต้นทุนแล้ว ชาวนารายนี้ กล่าวว่า ต้นทุนการปลูกแบบใช้สารเคมี อยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 4,000 บาทต่อไร่ แต่การปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ อยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 1,400 บาทต่อไร่เท่านั้น ซึ่งหากไปเข้าโครงการจำนำข้าว แม้จะได้เท่ากัน คือตันละ 12,500 บาท
วัดกันด้วยต้นทุน..คงไม่ต้องบอกว่า การปลูกแบบใดจะมี “เงินเหลือ” มากกว่า!!!
“ต่อไร่ของเราได้ห้าสิบถัง ของเขาได้หกสิบถัง เขาก็ไปคุย..โห! นาเขาดีมากเลย ได้ข้าวตั้งหกสิบถัง พอไปขายราคาเท่ากัน คือโครงการจำนำ หมื่นสองพันห้า แต่พอมาคิดต้นทุนการผลิต ต่อไร่ของเราพันสี่ร้อย ของเขาล่อไปสี่พัน เราน้อยกว่าตั้งสิบถัง แต่ต้นทุนเราถูกกว่าไง ก็ได้กำไรมากกว่าเขา จริงๆ เกษตรอินทรีย์ไม่ยาก คือข้าวเป็นพืชตระกูลหญ้า เราเพียงแต่เตรียมดินให้ดี อย่าไปเผาฟางข้าวหน้าดิน เพราะดินมันจะแห้งเกิน
เวลาฝนตกมาก็ปล่อยให้มันอยู่ ให้น้ำมันเน่าไป เราก็ใส่กากน้ำตาลลงไป ให้มันเกิดจุลินทรีย์ย่อยสลาย แล้วก็ปั่นดินให้เป็นโคลน จากนั้นก็หว่านข้าวไป ทำแค่นี้ก็จบแล้ว รอถึงหน้าเก็บเกี่ยวพอ ปีที่แล้วทำแปดไร่ ราคาดี ปีนื้ทำห้าสิบไร่ ราคาไม่ดีเท่า แต่ก็ไม่เดือดร้อนนะ ก็ต้นทุนเราแค่พันสี่เอง ถึงขายแค่ห้าพันก็ยังกำไรอยู่ดี เราไม่แคร์เลยว่าราคาต่อปีจะเท่าไร ก็ต้นทุนเรามันน้อย เกษตรอินทรีย์เป็นอะไรที่สามัญมากๆ นะ แต่คนหลงลืมไปเอง” ชาวนารายนี้ อธิบาย
อีกประเด็นที่น่าเป็นห่วง คือ 2.การบริหารเงิน ที่ผ่านมา ชาวนารายนี้ พบว่า ในหมู่คนที่มีอาชีพชาวนาด้วยกัน มีเพียงจำนวนน้อยที่มีความรู้ หรือใส่ใจกับการบริหารเงิน ที่ผ่านมามักทำนากันตามกระแสเข้าว่า เพราะถึงอย่างไรรัฐบาลก็มีมาตรการออกมาช่วยเหลือ พอทุนน้อยก็ไปหาแหล่งเงินกู้ กลายเป็นหนี้กันไปจากความไม่ประมาณตนเอง
“เรื่องของเรื่องคือตัวเองไม่คำนวณว่ามีทุนเท่าไรในกระเป๋า เห็นคนอื่นทำก็จะทำบ้าง ไม่มีเงินก็ไปหยิบยืมคนโน้นคนนี้ จบท้ายรัฐบาลบอกไม่ได้ราคาประกัน หรือรัฐบาลบอกไม่รับจำนำแล้ว อ้าวเครียดเลย!..ถามได้เลย แทบไม่มีใครทำบัญชี คือเขาไม่รู้ไงว่าทำไปทำไม บางคนให้จดเขาก็จดนะ แต่ไม่รู้ว่าจดไปทำไม เราก็เลยบอกว่าที่ให้จด สิ้นเดือนคุณก็ต้องมาดูว่าคุณหมดเงินไปกับอะไร คือเขาไม่รู้ไง มันไม่มีใครไปสอนเขา อยากให้ ธ.ก.ส. หรือหน่วยงานใดสักแห่ง ให้ความรู้ไปเลย ทำนากี่ไร่ ลงทุนไปเท่าไร ค่าดูดน้ำไปใช้เท่าไร ใช้เวลาดูดกี่ชั่วโมง คุณจ้างคนทำนาเท่าไร
แล้วแนะนำสำหรับคนมีที่นาเอง ให้ลองคิดว่าเรากำลังเช่านาเขาทำอยู่ แล้วก็หักเงินส่วนหนึ่ง สมมติว่าเป็นค่าเช่านาเก็บไว้ด้วย เอาไว้เป็นทุนสำรองสำหรับปีหน้าไง คือทำนามันต้องละเอียดนิดนึง แต่คนส่วนใหญ่ถือว่ามี ธ.ก.ส. มีโน่นนี่นั่นเป็นที่พึ่ง แต่พอถึงปี ไม่มีเงินก็ต้องไปกู้ ก็เป็นดินพอกหางหมู คือเอาง่ายเข้าว่าไง ไม่กลัวการเป็นหนี้ คิดแต่ว่าเดี๋ยวก็กู้คนนั้น เดี๋ยวก็ยืมคนนี้ กลายเป็นสร้างนิสัยที่ไม่ดีไปในตัว” รัชนีบูรณ์ ฝากข้อคิดทิ้งท้าย
ที่ผ่านมา..อาจมีคำแนะนำจากนักวิชาการหรือคนวงการอื่นๆ ที่ให้ชาวนามีวินัยทางการเงิน หรือแสวงหาวิธีการลดต้นทุนแทนการแข่งขันกันเพิ่มปริมาณเข้าว่า ซึ่งพอคนทั่วไปได้ฟังแล้ว อาจจะมองว่าเป็นคำแนะนำประเภท “หอคอยงาช้าง” แล้วก็ตั้งแง่ว่าคนพูดไม่เข้าใจความรู้สึกของชาวนา เพราะไม่ได้เป็นชาวนา
แต่ครั้งนี้น่าจะลดคำครหาดังกล่าวได้..เพราะ “ชาวนาตัวจริง” เป็นคนพูดเอง!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี