ขณะที่ “คนกรุง” กำลังดื่มด่ำกับค่ำคืนแห่งความเหน็บหนาวที่ปีนี้ดูเหมือนประเทศไทยจะตกอยู่ในห้วงแห่งความหนาวเหน็บนานทีเดียว จนทำให้หลายคนอาจจะมองข้ามไปว่าท่ามกลางความเย็นที่กล้ำกรายมาเยือนนั้น มันตามมาด้วย “ภัยแล้ง” ที่เวลานี้หลายพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเกษตรกรรมกำลังเผชิญปัญหานี้อยู่
ถามว่า.....“คนกรุง” ต้องไปกริ่งเกรงอะไรกับภัยแล้ง เพราะพื้นที่เกษตรถูกแทนที่ด้วยบ้านจัดสรร และโรงงานอุตสาหกรรม แทบหมดแล้ว???
ต้องบอกว่าภัยแล้งมิได้ฟาดงวงฟาดงาทำให้พืชไร่แห้งตายเท่านั้น แต่มันยังส่งผลกระทบทางอ้อมไปถึงระบบผลิต “น้ำประปา” ที่คนกรุงนำมาใช้อุปโภคบริโภค ซึ่งปัญหาที่หน่วยงานภาครัฐหวั่นเกรงในปีนี้ไม่ได้อยู่ที่น้ำประปาไม่พอ และได้วางแผนป้องกันอย่างเอาจริงเอาจังอยู่ที่ปัญหา “น้ำเค็ม” รุกล้ำ ทำ.....
น้ำประปากร่อย!!!
เมื่อปี 2557 หลายพื้นที่ในประเทศไทย โดยเฉพาะใน กทม.ต้องประสบภาวะน้ำประปากร่อยและเค็มเป็นครั้งแรกในรอบ 100 ปี เนื่องจากภาวะภัยแล้งคุกคาม แต่ปีนี้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำปัญหาจากปีก่อนมาเป็น “บทเรียน” และวางแผนรับมือไว้ตั้งแต่ต้น จนมั่นใจว่า.....
แล้งนี้.....ไม่มีกร่อย!!!
ธนศักดิ์ วัฒนฐานะ ผู้ว่าการประปานครหลวง หรือ “กปน.” กล่าวถึงความเสี่ยงที่คนกรุงอาจต้องดื่มน้ำกร่อยช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมนี้ ว่า กปน.มั่นใจว่าช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมนี้ คนกรุงเทพฯจะไม่ดื่มน้ำกร่อย เราพยายามไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยอย่างบทเรียนที่ผ่านมาที่เราไม่ได้เฝ้าระวัง มันถึง “เอาไม่อยู่” ปีนี้ต้อง “เอาให้อยู่” เพราะเรามีข้อมูลแล้ว พอน้ำเค็มเริ่มรุกล้ำ เราจะปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ มาผลักดัน
นอกจากนี้ กปน.ยังได้ตั้งศูนย์เฉพาะกิจเพื่อรองรับสถานการณ์โดยเฉพาะ ซึ่งมีจุดเฝ้าระวังที่แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อดูระดับน้ำว่าควรจะผ่านในอัตราไม่ต่ำกว่า 100 ลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ต่อวินาที ซึ่งปัจจุบันจ่ายน้ำมาได้ใกล้เคียงกับอัตราที่กำหนด ทำให้ยับยั้งน้ำเค็มที่รุกล้ำได้ส่วนหนึ่ง
“ผมมั่นใจว่าปีนี้น้ำประปาจะไม่มีทางกร่อยแน่นอน แต่เพื่อความไม่ประมาทขอให้ประชาชนสำรองน้ำไว้เพื่อใช้อุปโภคบริโภค และอยากให้รู้ถึงคุณค่าของน้ำ ใช้ให้พอเพียง เกิดประโยชน์ที่สุด ตรวจสอบความเสียหายของระบบประปาในบ้านด้วย” ผู้ว่าการ กปน.กล่าว
ขณะที่ “เชาวรินทร์ กิ่งแก้ว” ผู้ช่วยผู้ว่าการ กปน. ด้านระบบส่งและจ่ายน้ำประปา กล่าวว่า ปัญหาเรื่องน้ำเค็มรุกเข้าระบบนั้นมักเกิดจากด้าน “ทิศตะวันออก” ของแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านลงคลองบางเขน ซึ่งปี 2557 ที่เกิดปัญหาน้ำเค็มรุกขึ้นนั้นเพราะมีการปลูกข้าวนาปรังของเกษตรกรเป็นจำนวนมาก ทำให้น้ำที่ไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาวัดปริมาณได้แค่ 55 ล้าน ลบ.ม.ต่อวินาที แต่ปีนี้รัฐบาลขอร้อง และ “ห้าม” ทำนาปรัง เท่ากับไม่ต้องสูญเสียน้ำในส่วนนี้ไป และช่วยให้ปริมาณน้ำที่ไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาที่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา วัดค่าได้ถึง 105 ล้าน ลบ.ม.ต่อวินาที
“ผมคิดว่าปีนี้ในเขตพื้นที่ให้บริการของ กปน.ไม่มีจุดใดที่จะเป็นจุดเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาน้ำไหลอ่อน หรือน้ำกร่อย เพราะกรมชลประทานได้ส่งน้ำตามที่เราต้องการ คือ ประมาณ 850 ล้าน ลบ.ม. เพื่อใช้ในฤดูร้อน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-เมษายน ทำให้เราไม่เจอปัญหาน้ำเค็มรุกเลย” ผู้ช่วยผู้ว่าการ กปน.กล่าว
นอกจาก “ห้าม” ทำนาปรังแล้ว ภาครัฐโดย กปน.และกรมชลประทาน ยังนำวิกฤติน้ำเค็มรุกเข้าสู่ระบบผลิตน้ำประปาเมื่อปี 2557 มาใช้วางแผนบริหารจัดการน้ำเพื่อสกัดปัญหาน้ำประปา.....
“เค็ม-กร่อย-ไหลอ่อน”.....
“เชาวรินทร์” บอกว่า ปีนี้เราวางแผนใช้น้ำในช่วงฤดูแล้งไว้ที่ 2,900 ล้าน ลบ.ม. โดยจะใช้จาก “เขื่อนภูมิพล” รวมกับ “เขื่อนสิริกิติ์” 1,900 ล้าน ลบ.ม. , “เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน” และ “เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์” แห่งละ 500 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งปริมาณน้ำที่มีในเขื่อนขณะนี้ยังรับมือวิกฤติได้อย่างสบาย สามารถใช้น้ำไปได้จนถึงวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 ซึ่งหมดรอบภัยแล้งพอดี
“ปีนี้ไม่มีจุดเสี่ยงน้ำเค็มแน่นอนเพราะมีการวางแผนการจัดการที่ดีกว่าปีก่อน โดยเฉพาะมาตรการของรัฐบาลในการขอให้งดปลูกข้าวนาปรัง” เชาวรินทร์ กล่าวย้ำ
ด้าน “สุเทพ น้อยไพโรจน์” รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ในช่วงที่คาดการณ์ว่าระบบผลิตน้ำประปาจะถูกน้ำเค็มรุกล้ำนั้น ทางกรมชลประทานก็ได้ระบายน้ำมาคุมอัตราการไหลที่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา และปากคลองสำแล แหล่งสำรองน้ำดิบผลิตน้ำประปานครหลวง จ.ปทุมธานี ไว้ในปริมาณ 80-110 ลบ.ม.ต่อวินาที ซึ่งเป็นปริมาณที่เพียงพอต่อการผลักดันน้ำเค็มเข้าระบบประปาในช่วงน้ำทะเลหนุนสูงสุดได้
อย่างไรก็ตาม ในระยะปลายเดือนมกราคม ต่อเนื่องถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าน้ำเค็มจะหนุนสูงอีกนั้น ทางกรมชลประทานก็จะควบคุมคุณภาพน้ำและค่าความเค็ม โดยระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 80 ลบ.ม.ต่อวินาที และเขื่อนพระรามหกในอัตรา 24 ลบ.ม.ต่อวินาที มาคุมไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยให้ค่าความเค็มอยู่ที่ระดับ 0.25 กรัมเกลือต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานผลิตน้ำประปาเล็กน้อย แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่น้ำยังไม่มีความกร่อย
ขณะที่ “เลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ” อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า เราได้นำบทเรียนจากปีก่อนมาเป็นตัวตั้งในการกำหนดมาตรการบริหารจัดการน้ำในปีนี้ การปล่อยน้ำจึงค่อนข้างละเอียด จะไม่ปล่อยมาเต็มระบบเพราะปริมาณน้ำในเขื่อนใหญ่มีน้อย โดยให้ปริมาณน้ำจำกัดเฉพาะรักษาระบบนิเวศน์เท่านั้น ซึ่งได้ปล่อยน้ำปริมาณน้อยในเส้นทางน้ำในช่วงที่ผ่านพื้นที่เพาะปลูกลุ่มเจ้าพระยาใหญ่ภาคกลาง และปรับเปลี่ยนการปล่อยน้ำมาใช้การระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเป็นหลักในการผลักดันน้ำเค็ม เพื่อไม่ให้เข้ามารบกวนระบบผลิตน้ำประปาของ กปน.ได้
“ผมมั่นใจว่าน้ำเค็มจะไม่รุกเข้าระบบผลิตน้ำประปาของ กปน.แน่นอน” อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวอย่างมั่นใจ
ด้วยการวางแผนบริหารจัดการน้ำข้างต้น ทำให้ทาง กปน. และกรมชลประทาน เชื่อว่าจะรุกไล่ไม่ให้น้ำเค็มรุกล้ำระบบการผลิตน้ำประปาได้ ซึ่งจะเป็นจริงตามที่ทั้ง 2 หน่วยงานมุ่งหวังไว้หรือไม่ อีกไม่กี่วันก็รู้ผล
กฤต ขุนพิทักษ์
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี