การท่องเที่ยว..ภาคส่วนที่สร้างรายได้ให้ประเทศไทยอย่างมหาศาล รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย 2556 โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปี 2554 ราว 19.2 ล้านคน ปี 2555 เพิ่มขึ้นเป็น 22.4 ล้านคน และปี 2556 เพิ่มสูงถึง 26.7 ล้านคน
ขณะที่ปี 2557 แม้จะเป็นปีที่มีเหตุผันผวนทางการเมืองและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงมาอยู่ที่ 24.7 ล้านคน ตามข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แต่ก็ยังถือว่าสูงมาก นอกจากนี้ เม็ดเงินจากนานาชาติที่จับจ่ายใช้สอยเมื่อมาท่องเที่ยวในประเทศไทยต่อปี เฉลี่ยแล้วมากกว่า 1 ล้านล้านบาท
เป็นภาคส่วนที่ทำให้เศรษฐกิจไทยยังมีสภาพคล่อง..แม้ในช่วงที่รายได้หลักอย่างภาคอุตสาหกรรมซบเซา!!!
เมื่อมีนักท่องเที่ยว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ “ที่พัก” และประเทศไทยขึ้นชื่อมากกับการมีที่พักในราคาสำหรับนักท่องเที่ยวทุกประเภท ตั้งแต่โรงแรมห้าดาวบริการอย่างดี ราคาคืนละหลายพันบาทสำหรับผู้นิยมความหรูหรามีระดับ ไปจนถึงเกสต์เฮาส์หรือห้องเช่าราคาถูกๆ คืนละไม่กี่ร้อยบาท สำหรับนักท่องเที่ยวแนว “ตะลอนทัวร์สะพายเป้” (Backpacker) ที่ชอบสัมผัสวิถีชีวิตแบบคนท้องถิ่นจริงๆ
ทว่าปัญหาอย่างหนึ่งที่พบ คือการเกิดขึ้นของ “โรงแรมผี” หรือโรงแรมผิดกฎหมาย โดยผู้ที่ไม่ได้จดทะเบียนประกอบกิจการโรงแรมแต่มีอาคารที่แบ่งห้องให้เช่ารายเดือน แล้วนำบางห้องมาให้นักเดินทางเช่าพักเป็นรายวัน ซึ่งส่งผลกระทบหลายอย่าง เช่น เป็นการหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีให้รัฐ เพราะห้องเช่าทั่วไปที่ไม่ใช่โรงแรม อัตราภาษีจะถูกกว่า สภาพอาคารที่ไม่เหมาะสม หรือแม้แต่บรรดาผู้เช่ารายเดือนในอาคารนั้น อาจรู้สึกไม่ปลอดภัยได้ เพราะมีคนแปลกหน้าเข้ามาพักระยะสั้นๆ สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรม
งานวิจัยของ นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร นายกสมาคมโรงแรมไทย ในหัวข้อ “แนวทางการแก้ปัญหาการประกอบกิจการโรงแรมผิดกฏหมายเพื่อความมั่นคงของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” ที่เปิดเผยต่อสื่อมวลชน เมื่อเดือน ม.ค. 2558 ที่ผ่านมา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) อ้างอิงผลการสำรวจ ณ วันที่ 31 ส.ค. 2556
โดยข้อมูลจาก กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ระบุว่า มีโรงแรมที่จดทะเบียน นับถึงวันดังกล่าวรวมทั้งสิ้น 7,364 แห่ง แต่หากเข้าไปดูในเว็บไซต์โฆษณาสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวยอดนิยมอย่าง www.agoda.com ในหมวดโรงแรม จะพบว่าในวันเดียวกัน มีโรงแรมในไทยที่ลงโฆษณารวมทั้งสิ้น 9,299 แห่ง
มากกว่าที่ลงทะเบียนไว้ตามกฎหมายถึง 1,935 แห่ง!!!
“นักท่องเที่ยวมีความเสี่ยงในเรื่องความปลอดภัย เพราะโรงแรมไม่ได้ถูกก่อสร้างขึ้นมาเป็นสถานที่ที่ต้องถูกควบคุมการก่อสร้างอย่างถูกต้อง ความปลอดภัยจึงต่ำ ในทางตรงกันข้าม สถานประกอบการที่คนเขาพักอยู่เป็นรายเดือน ผมเคยได้รับการร้องเรียนจากผู้พักคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ว่าห้องพักในคอนโดส่วนหนึ่งมีคนเอาไปปล่อยให้คนพักรายวัน เห็นชาวต่างชาติมาพัก ทั้งตะวันออกกลางบ้าง ยุโรปตะวันออกบ้าง ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าไม่น่าจะได้รับความปลอดภัย มันก็เสี่ยงทั้งนักท่องเที่ยว เสี่ยงทั้งคนอยู่ในตึกด้วยครับ” นายสุรพงษ์ กล่าว
ไม่เพียงเท่านั้น นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวต่อไปว่า ชื่อเสียงอย่างหนึ่งของไทย คือการเป็น “ประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวราคาถูก” โดยเมื่อมีการจัดอันดับค่าที่พักในประเทศต่างๆ ประเทศไทยมักติดอันดับต้นๆ ที่ได้รับการโหวตว่าราคาที่พักอยู่ในอัตราค่อนข้างต่ำอยู่เสมอ ซึ่งทำให้ไทยไม่อาจยกระดับจาก “การท่องเที่ยวเชิงปริมาณ” ที่เปิดรับนักท่องเที่ยวทุกประเภทแบบไม่คัดกรอง ไปเป็น “การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ” ที่คัดกรองนักท่องเที่ยวให้น้อยลง โดยเน้นรับกลุ่มเป้าหมายที่รายได้ค่อนข้างสูงเป็นหลัก
ลดปัญหา “นักท่องเที่ยวล้น” จนทำให้ “ทรัพยากรเสื่อมโทรม” อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้!!!
“อัตราการเพิ่มของนักท่องเที่ยว 3-4 ปีที่ผ่านมา โตขึ้น 16-17 เปอร์เซ็นต์ แต่ห้องพักของเราราคาถูกแสนถูก ได้รับรางวัลจำนวนมากเลย ก็เป็นรางวัลที่พวกเราชาวโรงแรมช้ำใจ แต่ก็ต้องไปแสดงความภูมิใจว่าเราได้รางวัล ที่เรามีนักท่องเที่ยวราคาถูกเข้ามา
ก็เพราะเรามีโรงแรมราคาถูกจำนวนมาก ทำให้เราไม่สามารถมุ่งไปสู่การมีนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพได้ ส่วนโรงแรมที่เขาทำถูกต้องก็เสียเปรียบเรื่องต้นทุน ทั้งการก่อสร้างและค่าใช้จ่ายต่างๆ ผลกระทบที่ตามมาคือเรามีนักท่องเที่ยวมากเกินไป มีความเสื่อมโทรมของแหล่งท่องเที่ยวมากกว่าที่ควรจะเป็น” นายสุรพงษ์ ระบุ
ทว่าในอีกมุมหนึ่ง เสียงจากผู้ประกอบการโรงแรมและเกสต์เฮาส์ขนาดเล็ก มองว่าการที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากๆ ถือเป็นการนำเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศ และยังเป็นการกระจายรายได้สู่เศรษฐกิจระดับล่างที่มีผู้คนในระบบเป็นจำนวนมากอีกด้วย เพราะเป็นที่พักราคาถูกซึ่งเชื่อมโยงกับธุรกิจรายย่อยอื่นๆ ในท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าหากทำได้ก็อยากทำให้ถูกกฎหมาย แต่ที่ผ่านมากฎระเบียบต่างๆ ยังให้นิยามโรงแรม เป็นเพียงโรงแรมขนาดใหญ่ที่เป็นอาคารสูงเป็นหลัก ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้
สอดคล้องกับความเห็นของ นายบัณฑูร นริศรางกูร หัวหน้ากลุ่มงานพิจารณาร่างกฎหมายและระเบียบ 1 สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ที่ระบุว่า ที่ผ่านมาตนเข้าใจทั้ง 2 ฝ่าย ระหว่างฝ่ายผู้ประกอบการ “สีขาว” หรือโรงแรมที่จดทะเบียนถูกต้อง ที่หวังเห็นการท่องเที่ยวของไทยมีคุณภาพมากขึ้น
กับฝ่ายผู้ประกอบการ “สีเทา” หรือผู้ที่ต้องการนำอาคารของตนเข้าสู่ระบบ แต่ติดขัดด้วยข้อกฎหมายหลายประการ เพราะเป็นคนกลางรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ มาโดยตลอด ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่า การใช้นโยบายลักษณะ “กวาดล้าง” โรงแรมที่อยู่นอกระบบ คงไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..ภาคการท่องเที่ยวที่ตั้งเป้าหมายโกยเงินไว้สูงถึง “2 ล้านล้านบาท”!!!
“ปัจจุบันมีโรงแรมที่จดทะเบียนถูกต้อง 7 พันกว่าโรง ห้องพัก 3 แสนกว่าห้อง แล้วที่บอกว่าจะให้ดำเนินการกับโรงแรมที่ผิดกฏหมาย เราก็ศึกษากันมาตลอด แล้วถ้าเราจะทำกันอย่างจริงจัง ตั้งแต่ที่มีมติ ครม. ปี 2552 ผมว่านโยบายรายได้ 2 ล้านล้าน จากการท่องเที่ยวมีกระเจิงแน่นอน เพราะโรงแรมที่จดทะเบียนถูกต้อง ไม่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวมากถึงขนาดนั้นได้ แต่ที่เรารองรับได้ เพราะเรามีโรงแรมที่ยังไม่ถูกต้องรองรับอยู่” นายบัณฑูร กล่าว
ฝ่ายกฎหมายประจำกรมการปกครอง รายนี้ กล่าวต่อไปว่า ด้วยเหตุนี้ กระทรวงมหาดไทยจึงทำการแก้ไขกฏกระทรวงหลายฉบับ ไล่ตั้งแต่ “กฎกระทรวงกำหนดประเภทและหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. 2551” ที่ระบุนิยามของโรงแรมตาม พ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ.2547 ไว้ 4 ประเภท
กระทรวงมหาดไทย มีหนังสือเลขที่ มท.0307.6/ว 30338 และ มท.0307.6/ว 13221 ลงวันที่ 20 ธ.ค. 2554 ลงนามโดย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ในขณะนั้น) แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ และผู้ว่าฯ กทม. ทราบ เพื่ออนุญาตให้ “โรงแรมประเภท 1 และ 2” หรือโรงแรมที่มีเพียงห้องพัก หรือที่มีเพียงห้องพักและห้องอาหาร สามารถก่อสร้างได้ในที่ดินทุกประเภท ไม่ต้องถูกจำกัดด้วยข้อกำหนดด้านผังเมือง
ล่าสุด 13 ม.ค. 2558 ร่างแก้ไขกฎกระทรวงว่าด้วยการนำอาคารประเภทอื่นมาใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. .. ที่ออกตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มีสาระสำคัญคือ ออกมาตรฐานสำหรับควบคุมอาคารที่เป็นโรงแรมขนาดเล็ก (ประเภท 1 และ 2) เป็นการเฉพาะ ไม่ต้องใช้เกณฑ์สูงเท่ากับโรงแรมขนาดใหญ่ ได้ผ่านมติ ครม. แล้ว และคาดว่าจะได้ประกาศใช้เร็วๆ นี้ เพื่อหวังดึงกลุ่มนอกระบบให้เข้ามาจดทะเบียนมากขึ้น และเมื่อกฎกระทรวงนี้บังคับใช้ หากมีผู้ประกอบการที่ยังไม่ยอมปฏิบัติตามอีก ก็จะดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป
คาดว่าจะมีกลุ่มสีเทาเข้าสู่ระบบได้ถึง “70 เปอร์เซ็นต์”!!!
“กฎหมายโรงแรมปัจจุบัน เขาคิดว่าโรงแรมคือโอเรียนเต็ล คือดุสิตธานี คือคอนติเนนตัล คือคิดว่าเป็นแท่งใหญ่ๆ พอเป็นแท่งใหญ่ๆ มาตรฐานมันก็สูง ทีนี้พวกห้องพัก ห้องแถว อพาร์ตเมนต์ ก็ไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้ ก็เลยไปลดสเปค พวกเสา คาน ตง ระยะดิน ช่องทางเดิน บันไดหนีไฟ อะไรพวกนี้ ลดสเปคให้หมด ก็คือสมมติว่าคุณสร้างอาคารที่ถูกต้องในสมัยนั้น แล้วสามารถเข้าสู่ระบบได้โดยง่าย
โรงแรมที่ถูกและผิดกฏหมาย รวมกันได้หมื่นสองพันกว่าโรง ที่ผิดกฎหมายน่าจะประมาณห้าพันโรง ผมถามกับกรมโยธาธิการและผังเมือง เพราะผมไปกับเขา ไปเดินดูที่ตรอกข้าวสาร ไปดูที่อัมพวา ผมถามเขาว่ากฏกระทรวงนี้จะแก้ไขปัญหาโรงแรมที่ผิดกฎหมายได้กี่เปอร์เซ็นต์ เขาบอก 50-70 เปอร์เซ็นต์ แล้วถ้ากฎกระทรวงนี้มาแล้ว เราก็จะให้เวลาสักพักนึง เช่น 6 เดือน ถ้า 6 เดือนไปแล้วยังมีคนไม่เข้าสู่ระบบ ก็จะมีการจับกุม” นายบัณฑูร ฝากทิ้งท้าย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี