ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองกันต่อไปกับ ร่าง พ.ร.บ.ว่า ด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่ล่าสุดอยู่ในชั้นคณะกรรมการกฤษฎีกา เพราะแม้จะมีคำยืนยันจาก นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่กล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้มิใช่วาระเร่งด่วน และกฤษฎีกายังสามารถแก้ไขได้หากประชาชนมองว่าสุ่มเสี่ยงละเมิดสิทธิ์
เช่นเดียวกับ นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่กล่าวว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาพร้อมรับฟังข้อคิดเห็นจากทุกฝ่าย โดยคำนึงถึงข้อทักท้วง หากอะไรที่เป็นการกระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนจะหามาตรการต่างๆ มากำกับดูแลให้เหมาะสม และที่ผ่านมาก็มีวงเสวนาร่วมกับ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) “สพธอ.” เป็นระยะๆ อยู่แล้ว
แต่ในความกังวลของภาคประชาชน นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้แทนโครงการอินเตอร์เนตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) กล่าวในงานเสวนา “ไซเบอร์สเปซ : กฎหมาย พื้นที่ปลอดภัย และข้อมูลส่วนบุคคล” ณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ 18 ก.พ. 2558 ที่ผ่านมา มองว่า แม้ผู้เกี่ยวข้องจากภาครัฐจะออกมายืนยันว่าทุกอย่างแก้ไขได้ แต่สำหรับภาคประชาชน ยังไม่อาจนิ่งนอนใจ
ประเด็นแรก..ยิ่งชีพ ตั้งคำถามว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา มีอำนาจในการแก้ไขร่างกฎหมายต่างๆ หรือไม่? เพราะโดยปกติแล้ว หน้าที่ของกฤษฎีกา คือการตรวจพิจารณาถ้อยคำในตัวกฎหมายให้ถูกต้องสมบูรณ์ จึงไม่มั่นใจว่ากฤษฎีกาจะสามารถแก้ไขหลักการ หรือมาตราต่างๆ ได้ เพราะอาจเป็นการทำเกินกว่าหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด
“คณะกรรมการกฤษฎีกา โดยหลักการแล้วเขาไม่มีอำนาจในการแก้ไขหลักการกฎหมาย ก็คือ ครม. เป็นคนคิดว่าหลักการแบบนี้เขาเอา พอเอาปุ๊บพอไปเข้ากฤษฎีกาเขาก็มีหน้าที่เป็นนักเทคนิคทางกฎหมาย ก็คือดูคำ หรือกฎหมายมาตราไหนสอดคล้องกันกับกฎหมายที่มีอยู่หรือเปล่า? หรือไปขัดแย้ง หรือว่าซ้ำซ้อนกันจะได้ไม่ต้องเขียนเพิ่ม คือเป็นเรื่องเชิงเทคนิค เขาจะไม่มีอำนาจแก้ไขอะไรเลย” ยิ่งชีพ กล่าว
ประเด็นที่สอง..ผู้แทน iLaw ตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า ผู้เสนอกฎหมายอย่าง สพธอ. ออกมาระบุว่าที่ผ่านมาได้รับฟังข้อท้วงติงจากประชาชนและพร้อมที่จะแก้ไข เช่นเดียวกับท่าทีของนายวิษณุ ซึ่งก็นั่งเป็นประธานคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 2) อยู่ด้วยพร้อมกับ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อีกจำนวนหนึ่ง แต่ ณ วันนี้ ร่างได้พ้นจากผู้มีอำนาจแก้ไข นั่นคือคณะรัฐมนตรีไปแล้ว คำถามคือจะแก้ไขได้หรือไม่? และจะแก้อย่างไร?
“คณะกรรมการกฤษฎีกา ผมไม่มั่นใจว่าเข้าชุดไหน ชุดที่ 1 ประธานคือมีชัย ฤชุพันธุ์ ชุดที่ 2 คือวิษณุ เครืองาม ก็คือคนที่ดันมาใน ครม. เอง ก็ไปเป็นประธานกฤษฎีกาเอง แล้วก็มี สนช. เองหลายคนที่อยู่ในกฤษฎีกา พูดง่ายๆ เราหวังกับกฤษฎีกาไม่ได้หรอกว่าจะแก้ไขอะไร ผู้ร่างกฎหมายหรือว่า สพธอ. หลายคนเวียนกันออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เห็นข้อบกพร่องในกฎหมายที่ร่างออกมาแล้ว ยินดีรับฟังและพร้อมที่จะแก้ไข
เวลาเขาพูดอย่างนี้สำหรับผมถือว่าไม่ได้พูดอะไร ก็คือเขามีอำนาจเต็มที่จะร่างออกมายังไงก็ได้ตอนร่าง แต่เขาปล่อยให้หลุดออกมา จะโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ เขาเป็นคนที่มีความรู้นะครับ แล้วก็ศึกษาข้อมูลมาอย่างยาวนาน เขาบอกว่า
เขาพลาดที่ปล่อยให้มาตรา 35 วงเล็บ 3 ออกมาโดยที่ไม่มีกระบวนการตรวจสอบอะไรเลย วันนี้เห็นข้อบกพร่องและพร้อม
จะแก้ไข แต่ ครม. เขารับหลักการแล้ว เขาไปสู่กฤษฎีกาแล้ว มันพ้นจากอำนาจคนที่บอกว่าพร้อมจะแก้ไขไปแล้ว และจริงๆ กฤษฎีกาก็ไม่มีอำนาจในการแก้ไข” ผู้แทน iLaw ให้ความเห็น
ประเด็นที่สาม..ในเมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่มีอำนาจในการแก้ไขกฎหมาย ดังนั้นการที่ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้จะตกไป หรือถูกตีกลับไปให้คณะรัฐมนตรีแก้ไขหรือไม่นั้น ผู้พิจารณาคือ สนช. ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นักกฎหมายภาคประชาชนรายนี้กล่าวว่า เพราะสมาชิก สนช. ส่วนใหญ่ มาจากหน่วยงานด้านความมั่นคง อีกทั้งปัจจุบันยังไม่ได้ยินว่ามีการถกเถียงกันใน สนช. ถึงความเหมาะสมของร่างฉบับนี้
ที่สำคัญ..ตั้งแต่มี สนช. มา ยังไม่มีกฎหมายใด “ไม่ผ่าน” แม้แต่ฉบับเดียว!!!
“ยังไม่เคยเห็นว่ากฎหมายฉบับไหนเข้าสู่ สนช. แล้วไม่ผ่านเลย ยังไม่มีฉบับไหนที่ถูกโหวตตกเลย สนช. ทำงาน 6-7 เดือน นับถึงสิ้นปีผ่านกฎหมายไป 47 ฉบับ ถ้านับถึงวันนี้ (18 ก.พ. 2558) ก็ผ่านไปห้าสิบกว่าฉบับ ก็ถือว่าทำงานได้มีประสิทธิผลดี ก็คือรวดเร็วออกได้เยอะ บางฉบับผ่านทั้ง 3 วาระในวันเดียว บางฉบับผ่านเลย บางฉบับผ่านมาด้วยข้อถกเถียงจำนวนมาก แต่เสียงไม่ค่อยดัง
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครึ่งหนึ่งเป็นทหาร เป็นองค์กรสุดท้ายที่มีอำนาจแก้ไขกฎหมายจุดนี้ ไม่ได้หมายความว่า มันจะแก้ไขอะไรไม่ได้เลย แต่เราต้องไม่วางใจกับคำพูดหวานๆ ว่ายินดีที่จะรับฟังและแก้ไข เพราะคนที่พูดไม่ได้มีอำนาจอะไรแล้ว ส่วนคนที่มีอำนาจอย่างกฤษฎีกากับ สนช. ยังไม่มีใครออกมาพูดอะไรว่าจะเอาหรือไม่เอา แก้หรือไม่แก้” ผู้แทน iLaw แสดงความเป็นห่วง
ประการที่สี่..ยิ่งชีพ มองไปยังกฎหมายอีกหลายฉบับ ที่เป็นข้อถกเถียงตั้งแต่เริ่มร่างจนถึงผ่าน สนช. ออกมา เช่น กฎหมายคุ้มครองสัตว์, กฎหมายหอพัก รวมถึงยังมีอีกหลายฉบับที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา เช่น ร่าง พ.ร.บ. แร่, ร่าง พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ, ร่าง พ.ร.บ.สิ่งยั่วยุพฤติกรรมอันตราย ซึ่งปัจจุบันไม่มีช่องทางให้ภาคประชาชน หรือกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนั้นๆ เข้าไปมีส่วนร่วม จึงรู้สึกกังวลไม่น้อย
เพราะท้ายที่สุด..หาก “พ.ร.บ.ความมั่นคงไซเบอร์” ซึ่งวันนี้มีกระแสคัดค้านเป็นวงกว้าง เกิดผ่านขึ้นมาจริงๆ!!!
กฎหมายฉบับอื่นๆ..ถึงจะมีเสียงท้วงติง ก็อาจจะ “ไร้ความหมาย” ไม่ต่างกัน!!!
“ในสถานการณ์นี้ กฎหมายที่ถูกพูดถึงแล้วมีเสียงประชาชนคัดค้านดังที่สุดคือชุดนี้ เป็นกฎหมายที่พอพูดถึงแล้วมีกระแสตอบรับดีที่สุด ผมทำงานออนไลน์ ก็วัดกระแสจากคอมเมนท์และแชร์บนเฟซบุ๊ค ดีกว่ากฎหมายที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 ประมาณ 10 เท่า อย่างคุณอาทิตย์ (นายอาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล ผู้ประสานงานมูลนิธิเพื่ออินเตอร์เนตและวัฒนธรรมพลเมือง) ทัวร์ออกสื่อมาประมาณ 1 เดือน มีสื่อบางฉบับบอกเองว่า เจ้าของบริษัทตั้งใจจะใช้สื่อทุกแขนงที่เขามีอยู่ในการเล่นเรื่องนี้ให้มากที่สุด
แล้วคนที่ไม่เคยตื่นตัวกับกฎหมายหรือการเมือง ก็ยังออกมาค้านกฎหมายนี้ค่อนข้างมาก ก็คิดว่าถ้ากฎหมายนี้ได้รับความสนใจขนาดนี้ แล้วยังค้านไม่ได้ มันยังออกมาหน้าตาแบบนี้ มันก็เป็นการส่งสัญญาณไปยังฉบับอื่นอีกหลายสิบฉบับ ว่าเสียงค้านแทบจะไม่มีผลอะไรเลย เรายังมีความหวังอยู่บ้าง ดูแลนด์มาร์ค ของวันนี้ มันไปนิ่งที่กฤษฎีกา หรือมันถูกแก้ไขใน สนช. มันก็ยังมีความหวังไปสู่กฎหมายฉบับอื่นๆ บ้าง ว่าสภาที่มาจากการแต่งตั้ง ยังรับฟังเสียงข้างนอกอยู่บ้าง” ผู้แทน iLaw ฝากทิ้งท้าย
สาระสำคัญของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงขณะนี้ คือ มาตรา 35 (3) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าถึงข้อมูลการติดต่อสื่อสารทั้งทางไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ในการสื่อสารสื่ออิเล็กทรอนิกส์สื่อทางเทคโนโลยีสารสนเทศใด เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติการเพื่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ให้หลักเกณฑ์กำหนดโดยคณะรัฐมนตรี
จึงเกิดคำถามว่า..นี่เป็นการให้อำนาจอย่าง “ไร้ขอบเขต” กับรัฐในการควบคุมประชาชนหรือไม่? เพราะทุกๆ การติดต่อสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นใคร เพศ วัย อาชีพใด ล้วนถูก “ล้วงข้อมูลส่วนตัว” ได้ทุกคน รวมถึงในมุมมองของ “สื่อมวลชน” ก็แสดงท่าทีไม่สบายใจเช่นกัน (สกู๊ปหน้า 5-เสียงทักท้วง “พ.ร.บ.ไซเบอร์” หวั่น “ละเมิดสิทธิ”ประชาชน-นสพ.แนวหน้า ฉบับวันศุกร์ที่ 13 ก.พ. 2558) เพราะรัฐบาลไม่ว่าจะมาจากกลุ่มใด อาจใช้กฎหมายนี้ข่มขู่คุกคามการแจ้งเบาะแสทุจริตของภาครัฐ ที่พลเมืองดีส่งข้อมูลให้กับสื่อไปเสนอข่าว
ย้ำอีกครั้ง..นี่เป็นเรื่องที่ประชาชน “ทุกคน ทุกสี ทุกกลุ่ม” ต้องติดตาม!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี