(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
ในตอนที่แล้ว เราได้กล่าวถึงบริบทระหว่างสังคมไทยกับต่างประเทศ กรณีร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. .. ว่าด้วยการขออนุญาตจัดการชุมนุม และพื้นที่ห้ามชุมนุมไปแล้ว ในตอนนี้ จะเน้นไปที่ข้อสังเกตว่าด้วยข้อกำหนดบางประการ ที่อาจทำให้ประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุม รู้สึกไม่ปลอดภัยได้
เช่นใน มาตรา 16 (2) ที่ห้ามผู้เข้าร่วมชุมนุมปิดบังใบหน้า ทว่าในความเป็นจริง ในช่วงที่มีการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ เรื่องเล่ามากมายที่เหมือนกันของทุกกลุ่ม คือผู้เข้าร่วมชุมนุม โดยเฉพาะบรรดา “การ์ด”หรืออาสาสมัครที่ดูแลความปลอดภัยบริเวณสถานที่ชุมนุม ที่มักจะถูกข่มขู่คุกคาม เช่น ถูกสะกดรอยตามถึงบ้านพักเมื่อออกจากพื้นที่การชุมนุมไปแล้ว และบางรายยังถูกทำร้ายร่างกาย
“กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” หรือ “ชายชุดดำ” คือตัวละครที่ถูกอ้างถึงตลอดเวลาว่าเป็นผู้ก่อเหตุ!!!
แต่จนแล้วจนรอด..กลุ่มคนลึกลับเหล่านี้มักจะ “หายเข้ากลีบเมฆ” ไปเสมอ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่ามาจากไหน!!!
ถาวร เสนเนียม อดีตสส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตแกนนำกลุ่ม กปปส. เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ชุมนุม กปปส. ที่เสียชีวิตไปนับสิบ บาดเจ็บอีกนับร้อย ตลอดช่วงการชุมนุมตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2556-พฤษภาคม 2557 ทว่าเจ้าหน้าที่รัฐในขณะนั้น แทบจะไม่ให้ความสนใจสืบสวนหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีแต่อย่างใด
หรือกรณีที่ “คลาสสิก” มาทุกยุคสมัย คือการชุมนุมของประชาชนเพื่อต่อต้านขัดขวางบรรดา “ทุนสามานย์” ที่จะเข้าไปหาผลประโยชน์ในพื้นที่ต่างๆ แล้วถูกคนท้องถิ่นต่อต้าน นายทุนเหล่านี้มักจะจ้าง “มือสังหาร” เพื่อจัดการ “เด็ดหัว” บรรดาแกนนำชุมชน หรือนักเคลื่อนไหวที่เข้าไปช่วยเหลือชาวบ้าน จนบาดเจ็บล้มตายไปคนแล้วคนเล่า
นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญ..ที่บรรดาการ์ดรวมถึงผู้ชุมนุมหลายราย จำเป็นต้องปิดบังใบหน้าของพวกเขา!!!
เพราะเจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถทำให้พวกเขาไว้ใจ..ว่าจะดูแลชีวิตและร่างกายให้ปลอดภัยจากมือมืดได้!!!
“เราทั้งถูกยิง ทั้งถูกขว้างระเบิด มีคนตายไปยี่สิบสี่ บาดเจ็บอีกเจ็ดร้อยกว่า เจ้าหน้าที่รัฐไม่กระตือรือร้นในการจับกุมคนร้ายเลย แต่คอยดำเนินการกับคนที่ออกมาเคลื่อนไหวอย่างเดียว ยิ่งถ้าเป็นการชุมนุมที่ขัดแย้งกับนายทุนชาติ นายทุนสามานย์ เขาก็จะจ้างมือปืนมายิงมาฆ่า เห็นไหมครับว่าผู้เคลื่อนไหวเรียกร้องขอความเป็นธรรม ในกรณีที่นายทุนมาลงทุน ที่จะเกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม หรือสุขภาพอนามัย คนระดับผู้นำนี่จะถูกยิงตายเกือบทั้งหมด
นั่นแหละครับสาเหตุที่ทำไมเขามีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังใบหน้า อย่าว่าแต่สู้กับอำนาจรัฐเลย อำนาจรัฐนอกจากจะไม่ดูแลให้เกิดความปลอดภัยแล้ว ยังจะเป็นหูเป็นตาให้ฆาตกรเหล่านั้น หรือนายทุนเหล่านั้น มากระทำกับผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวด้วย” อดีตสส.สงขลา และอดีตแกนนำ กปปส. ระบุ
ในมุมมองนักวิชาการอย่าง บุญส่ง ชเลธร อาจารย์ประจำวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตแกนนำในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 แม้ด้านหนึ่งจะเห็นด้วยกับมาตราดังกล่าว เพราะฝ่ายผู้ชุมนุมเองบางครั้งก็มีกองกำลังติดอาวุธแฝงตัวเข้าไปอยู่ด้วย แล้วก็ลอบออกมาก่อเหตุ ถึงจะมีภาพถ่ายชัดเจน แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใครเพราะมีการปิดบังใบหน้า
แต่อีกด้านหนึ่ง กฎหมายนี้ใน มาตรา 19 วรรคท้าย ไม่ได้บอกว่าฝ่ายตำรวจจะต้องแสดงตัวอย่างไรแค่ไหน? ซึ่งฝ่ายตำรวจอาจตีความเพียงว่า การแสดงตัวคือการ “แต่งเครื่องแบบตำรวจ” เท่านั้น ในขณะที่ตำรวจปราบจลาจลของประเทศที่เจริญแล้ว ตำรวจทุกนายนอกจากแต่งเครื่องแบบ ยังเปิดเผยใบหน้าชัดเจน อีกทั้งที่เสื้อเกราะก็ดี หมวกก็ดี จะมีหมายเลขที่สามารถระบุได้ว่าแต่ละนายเป็นใคร
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่น่ากังขา นักวิชาการรายนี้ ยกกรณีสนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง กทม. เมื่อ 26 ธ.ค. 2556 ที่ปรากฏภาพตำรวจปราบจลาจลสวมหน้ากากกันแก๊สน้ำตา กรูกันออกมาทุบรถยนต์ของผู้ชุมนุมกลุ่ม คปท. ในตอนแรกฝ่ายตำรวจออกมาปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง แต่เวลาต่อมาก็ยอมรับว่าเป็นตำรวจจริง และจะดำเนินการสอบสวน
ทว่าจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ ปรากฏต่อสาธารณชน!!!
“กรณีตำรวจกรูกันออกมาจากสนามไทย-ญี่ปุ่น ออกมาตีรถ มีคลิปเป็นสิบๆ คลิป ทีแรกปฏิเสธว่าไม่ใช่ตำรวจ พอวันรุ่งขึ้น ผู้บัญชาการตำรวจยอมรับว่าเป็นตำรวจ ขอเวลา 2วัน ในการสอบสวนเรื่องนี้ แต่เรื่องก็เงียบ แต่ในต่างประเทศต่างกันครับ
หมวกของตำรวจต่างประเทศจะมีเบอร์ เสื้อเกราะทั้งหน้าและหลังจะมีเบอร์อย่างกับวินมอเตอร์ไซค์ สะท้อนแสงแบบเห็นมาแต่ไกลเลย ว่าตำรวจที่ใช้ปืนยิงหรือใช้ไม้ตีนี่เบอร์อะไร แล้วเบอร์นั้นจะชี้ว่าตำรวจคนนั้นชื่อนาย ก นาย ข ถ้าตีความต้องตีความอย่างนี้ การเขียนคลุมเครือแบบนี้ มันเพื่อประโยชน์ของตำรวจฝ่ายเดียว” นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ม.รังสิต
ตั้งข้อสังเกต
นอกจากกรณีดังกล่าวแล้ว อาจารย์บุญส่งยังตั้งคำถามต่อไปว่า “ตำรวจไทยเป็นกลางแค่ไหน?” เช่น กรณีลอบยิง สุทิน ธราทิน แกนนำกลุ่ม กปท. เมื่อ 26 ม.ค. 2557 จนเสียชีวิต ขณะไปรณรงค์คัดค้านการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 ณ วัดศรีเอี่ยม ย่านบางนา กทม. แม้จะมีภาพผู้ต้องสงสัยชัดเจน แต่ในเวลานั้นคดีกลับไม่มีความคืบหน้า หรือกรณีขว้างระเบิดใส่ผู้ชุมนุมกลางวันแสกๆ มีภาพมีคลิปชัดเจนและผู้ก่อเหตุไม่ได้ปิดบังใบหน้า ท่าทีของตำรวจในเวลานั้น ก็ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะติดตามคดี จนผู้ชุมนุมรู้สึกกังวล
“ตำรวจเลือกจับคนที่อยากจะจับ แต่คนที่คุณไม่อยากจับ ถึงจะเห็นหน้าเห็นตา อย่างคนยิงคุณสุทิน ธราทิน มันไม่ยากที่จะจับ ตำรวจก็ไม่จับ หรือการขว้างระเบิดเข้าไปใส่ผู้ชุมนุม แล้วก็วิ่งหนีออกมา คนวิ่งไล่ตามก็เอาปืนหันมายิง มีทั้งภาพทั้งคลิป เห็นหน้าชัดเจนตำรวจก็ไม่จับ แต่อะไรที่ตำรวจเอาจริง ถึงไม่มีกล้องวงจรปิด คนร้ายปิดหน้าปิดตา ตำรวจก็จับได้” อาจารย์บุญส่ง ให้ความเห็น
กล่าวโดยสรุป..นักวิชาการรายนี้ มองว่า กฎหมายควบคุมการชุมนุมสาธารณะอาจมีได้ แต่ต้องปรับเปลี่ยนหลายอย่าง เช่น แทนที่จะให้ตำรวจเป็นผู้อนุญาตการชุมนุม ก็อาจให้องค์กรอิสระอื่นๆ อาทิ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ดูแลในส่วนนี้แทน เพราะมีความเข้าใจเรื่องสิทธิมากกว่า ที่สำคัญ..กระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” (สตช.) ต้องถูกปฏิรูป หากต้องการให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้
“ถ้าเทียบกับยุโรป เทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว โดยเฉพาะสแกนดิเนเวีย มาตรฐานเราต่ำมากเลย คือมองดูมาตรฐานของไทยแล้ว ผมมองว่าที่บอกปฏิรูปๆ เนี่ย จุดใหญ่ที่ต้องปฏิรูปให้บ้านเมืองเดินหน้าไปด้วยดี คือปฏิรูปตำรวจกับกระบวนการยุติธรรม ถ้าคุณไม่ปฏิรูปตำรวจ แล้วผมก็ได้ข่าวว่าตำรวจเขาไม่แตะต้องเลย แล้วเขาบอกจะปฏิรูปตัวเอง ผมมองว่าสิ้นหวัง” นักวิชาการและอดีตแกนนำ 14 ตุลา ให้ความเห็น
ขณะที่ ถาวร ฝากไปถึงทั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และรัฐบาล ว่าอย่าได้มองประชาชนที่ออกมาชุมนุมประท้วงเป็นศัตรู แต่ต้องมองว่าประชาชนเป็นผู้ที่รัฐจะต้องเอาใจใส่ดูแลอย่างเข้าใจ รวมทั้งย้ำว่า..ถ้าไม่เหลืออดหมดสิ้นหนทางจริงๆ คงไม่มีใครอยากออกมา “นอนกลางดิน กินกลางถนน” ให้ต้องลำบากและเสี่ยงตายเช่นนี้
“ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ไม่บีบคั้น ไม่เดือดร้อนจนเกินไป ทุกคนอยากนอนอยู่กับบ้าน อยากอยู่กับครอบครัว อยากทำมาหากินตามปกติ เพราะออกมาชุมนุม เสี่ยงทั้งติดคุก เสี่ยงทั้งอันตรายถึงชีวิต และขาดการทำมาหาได้ ที่เขาออกมาชุมนุม เพราะเขาอดกลั้นไว้ไม่ได้อีกแล้ว อยากให้การคิดอ่านบัญญัติกฎหมาย มองให้ทุกมิติครับ” อดีตสส.สงขลา และอดีตแกนนำ กปปส. ฝากทิ้งท้าย
ร่างกฎหมายชุมนุมสาธารณะ อย่างที่กล่าวไปในตอนก่อนหน้า ว่าเป็นกฎหมายที่มีข้อท้วงติงจากภาคประชาชนมากฉบับหนึ่ง ล่าสุด 26 ก.พ. 2557 สนช. รับหลักการวาระแรกแล้ว
นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่คนไทย..ผู้เป็นประชาชนในสังคมที่ความเป็นธรรมต่างๆ ต้องเรียกร้องกดดันเสียก่อนจึงจะ
ได้มา ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด!!!
หมายเหตุ : อ่านร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ได้ที่ http://library2.parliament.go.th/giventake/content_nla2557/d022558-06.pdf
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี