“คณะกรรมการการเลือกตั้ง” หรือ กกต. เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่จัดการเลือกตั้งมาแล้ว 17 ปี ภายหลังมีแนวคิดให้ตั้ง “คณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง” หรือ กจต. เพื่อจัดการเลือกตั้งแทน กกต.จึงขอกล่าวถึงความแตกต่างของการจัดการเลือกตั้งโดย กจต.ดังนี้
1.อำนาจของ กกต.ตามที่กฎหมายบัญญัติ
ตามข้อสังเกต “คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ” ที่เห็นว่าควรแยกอำนาจควบคุมและอำนาจจัดการเลือกตั้งออกจากกัน โดยเห็นว่า กกต.มีอำนาจหลายลักษณะอยู่ในองค์กรเดียวกัน เช่น อำนาจบริหารและนิติบัญญัติ ทำให้ขาดการ “ถ่วงดุลอำนาจ” ซึ่งขอเรียนว่าการออกพระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาเช่นเดียวกับหน่วยงานอื่น การออกคำสั่ง และประกาศที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งก็ใช้อำนาจบริหารลักษณะเดียวกับการออกกฎกระทรวง ดังนั้นการใช้อำนาจของ กกต.จึงเป็นเพียงการใช้อำนาจในทางบริหาร ไม่ใช่การใช้อำนาจในทางนิติบัญญัติ
2.อำนาจจัดการเลือกตั้งและอำนาจกำกับดูแล
ในการจัดการเลือกตั้ง กกต.ใช้อำนาจ 2 ลักษณะ คือ อำนาจจัดการ(Operator) และอำนาจกำกับดูแล(Regulator) ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการจัดการเลือกตั้ง ดังนี้
2.1 เรื่องประสิทธิภาพการทำงาน การให้ กกต.จัดการและกำกับดูแลทำให้มีประสิทธิภาพสูงกว่าการให้หลายองค์กรดำเนินการ
2.2 เรื่องระยะเวลาจัดการเลือกตั้ง แม้รัฐธรรมนูญกำหนดระยะเวลาจัดการเลือกตั้งไว้ 45 วัน กรณีเลือกตั้งทั่วไป หรือ 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน กรณียุบสภา และกระบวนการจัดการเลือกตั้งแต่ละขั้นตอนมีระยะเวลาจำกัด แต่ กกต.สามารถดำเนินการได้เรียบร้อยทันเวลา แต่หากองค์กรกำกับดูแลกับองค์กรจัดการเลือกตั้งมิใช่องค์กรเดียวกัน จะทำให้การดำเนินการไม่เป็นไปตามกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนดได้
2.3 เรื่องการใช้ทรัพยากร การแยกองค์กรจัดการกับองค์กรกำกับดูแลออกจากกัน ทำให้การทำงานและการใช้ทรัพยากรเกิดความซ้ำซ้อน และสิ้นเปลืองมากกว่าที่ กกต.ดำเนินการ
2.4 เรื่องการตรวจสอบการเลือกตั้ง ปัจจุบันมีสำนวนร้องคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งหลายระดับ แม้คำร้องส่วนใหญ่จะเกิดจากการสำคัญผิดในข้อเท็จจริง แต่ กกต.ก็ได้แจ้งกำชับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานการเลือกตั้งอยู่ตลอดเวลา หากเห็นว่ามีความผิดพลาด และมีโทษทางอาญา กกต.ก็ได้แจ้งความดำเนินคดีเจ้าพนักงานทุกราย
2.5 เรื่องความเป็นสากล การกำหนดให้การควบคุมและการจัดการเลือกตั้งอยู่ในองค์กรเดียวกันจะสอดคล้องกับนานาอารยประเทศ ที่มีองค์กรจัดการเลือกตั้งกับองค์กรตรวจสอบเป็นองค์กรเดียวกัน
ดังนั้น การใช้อำนาจ และอำนาจกำกับดูแลของ กกต.ในกรณีนี้เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริต และมีประสิทธิภาพ หากมีการ “แยกอำนาจ” จัดการเลือกตั้งและอำนาจกำกับดูแลออกจากกัน ย่อมส่งผลให้การจัดการและควบคุมการเลือกตั้งขาดความเป็นเอกภาพ และสิ้นเปลืองงบประมาณมากขึ้น
3.บุคลากรและการบริหารจัดการ
หากมองในเรื่องของบุคลากรที่จะมาช่วยเหลือในการจัดการเลือกตั้งระหว่าง กกต.เป็นผู้ดำเนินการจัดการเลือกตั้ง
หรือให้ กจต.เป็นผู้ดำเนินการอาจมีข้อแตกต่าง ดังนี้
3.1 เรื่องการบังคับบัญชาและความชอบธรรม เนื่องจาก กจต.แต่งตั้งจากข้าราชการประจำอาจถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองได้ง่าย เพราะฝ่ายการเมืองเป็นผู้บังคับบัญชาของ กจต.โดยตรง และเชื่อว่า กจต.อาจได้รับผลกระทบภายหลังการปฏิบัติหน้าที่แน่นอน ซึ่งจะกระทบต่อขวัญและกำลังใจของ กจต.เอง
3.2 ที่มาของ กจต. ซึ่งมาจาก 7 องค์กร คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะทำให้ขาดความเป็นเอกภาพ ต่างจากการให้องค์กรเดียวดูแล
3.3 เรื่องเป็นมืออาชีพ การที่ กจต.เป็นข้าราชการมาจาก 7 องค์กร และต้องปฏิบัติงานประจำและจัดการเลือกตั้งซึ่งไม่ใช่ภารกิจหลัก จะก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องความเชี่ยวชาญ ความเป็นมืออาชีพ และไม่มีความคล่องตัว เนื่องจากบุคลากรของทั้ง 7 หน่วยงานจะมีการแต่งตั้งโยกย้ายอยู่ตลอดอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ส่งผลให้การปฏิบัติหน้าที่ของ กจต.จว.ขาดความต่อเนื่อง ขณะที่ กกต.มีภารกิจหลัก คือ จัดการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งคราวละ 7 ปี และคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี จึงทำหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ กจต.ที่ได้รับแต่งตั้งมีภารกิจในงานประจำอยู่ตลอดเวลา หากมารับผิดชอบจัดการเลือกตั้งทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น อาจส่งผลกระทบต่องานประจำที่รับผิดชอบ และอาจทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตได้
3.4 เรื่องการบริหารจัดการ การแยกองค์กรจัดการเลือกตั้งกับองค์กรกำกับดูแลออกจากกัน จะเพิ่มขั้นตอนและระยะเวลาการปฏิบัติงานมากขึ้น อาจเกิดความล่าช้าในการสั่งการ รวมถึงการสั่งการไม่เด็ดขาด โดย กกต.สั่งการได้อิสระ แต่ กจต.เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนักการเมือง
ดังนั้น การให้บุคลากรที่เป็นข้าราชการมาจาก 7 องค์กร เป็นผู้จัดการเลือกตั้ง อาจเกิดปัญหาเรื่องความเป็นกลางเพราะอาจถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองได้ รวมทั้งเรื่องความเป็นมืออาชีพ และความเป็นอิสระในการทำงาน ซึ่งอาจส่งผลให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม
4.การมีส่วนร่วมของประชาชน
ที่ผ่านมา กกต.จัดการเลือกตั้งโดยอาศัยกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสำคัญ โดยประชาชนสามารถสมัครเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้ แตกต่างจาก กจต. ดังนี้
4.1 กจต.เป็นข้าราชการประจำเป็นส่วนใหญ่ เช่น กจต. 7 คน มาจากข้าราชการประจำจาก 7 องค์กร กจต.จว. มี 9 คน มาจากข้าราชการประจำ 7 คน และมีภาคประชาชนเพียง 2 คน แสดงให้เห็นถึงการจำกัดการมีส่วนร่วมของประชาชน ขัดจากแนวทางในปัจจุบัน
4.2 การตรวจสอบการทุจริต เนื่องจากปัญหาทุจริตการเลือกตั้งเกิดได้ในทุกขั้นตอน จึงจำเป็นต้องให้มีองค์กรอิสระอย่าง กกต.เข้าไปควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่ง กกต.สามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลาว่ามีปัญหาอะไร และมีประชาชนเข้ามาร่วมตรวจสอบทุกขั้นตอน หากองค์กรจัดการเลือกตั้งและควบคุมการเลือกตั้งเป็นคนละองค์กรกัน จะทำให้ขาดความร่วมมือในการตรวจสอบการเลือกตั้ง
ดังนั้น การมีส่วนร่วมของประชาชนถือเป็นหลักการสำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่จะขาดเสียมิได้ การจำกัดการมีส่วนรวมของประชาชนถือเป็นการทำลายระบบการมีส่วนร่วม และอาจทำให้การตรวจสอบการทุจริตการเลือกตั้งทำได้ยากยิ่งขึ้น
“สรุป” กระบวนการจัดการและควบคุมการเลือกตั้งที่สุจริตเป็นส่วนสำคัญลำดับแรกที่จะกลั่นกรองบุคคลที่อาสาเข้ามาเป็นตัวแทนของประชาชน ถือเป็นต้นทางของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หากกระบวนการจัดการและตรวจสอบการเลือกตั้ง “ล้มเหลว” เพราะความไม่เป็นกลาง ขาดอิสระและขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ย่อมกระทบต่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ดังนั้นการเปลี่ยนองค์กรจัดการเลือกตั้งจาก กกต. มาเป็น กจต. อาจจะไม่ใช่แนวทางการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี