ในอดีตบริษัทข้ามชาติและบริษัทร่วมทุนได้ใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต แต่ปัจจุบันประเทศไทยมีคู่แข่งในการรองรับการลงทุนจากต่างประเทศในการเป็นฐานการผลิต เนื่องจาก “ค่าแรง” สูงขึ้น ประกอบกับบริษัทขนาดใหญ่ได้รับแรงกดดันจากการแข่งขัน และกำลังเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ “เออีซี” ทำให้ภาคเอกชนของไทยต้องปรับโครงสร้างการผลิตจากการใช้แรงงานเข้มข้น ไปสู่การใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี แลนวัตกรรม(วทน.) เพื่อให้แข่งขันได้มากขึ้น
แต่ “อุปสรรค” คือ การขาดแคลนบุคลากรด้าน วทน.ที่ส่วนใหญ่อยู่ในมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐ และที่ผ่านมานักวิจัยและนักเรียนทุนในภาครัฐยังติดกฎเกณฑ์บางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถไปปฏิบัติงานในภาคเอกชนได้!!!
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงมีความพยายามที่จะ “ปลดล็อก” เงื่อนไขดังกล่าว โดยจัดทำนโยบายส่งเสริมบุคลากรด้าน วทน.ไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในภาคเอกชน หรือ Talent Mobility ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า นโยบาย Talent Mobility เป็นกลไกสำคัญที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย ที่จะช่วยให้ประเทศไทย “หลุดพ้น” จากการเป็นประเทศรายได้ปานกลาง และมีมาตรการสนับสนุนการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา สู่เป้าหมาย 1 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี ในจำนวนนี้คิดเป็นสัดส่วนลงทุนของภาคเอกชนกับภาครัฐ 70 : 30 จากการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ “สวทน.” พบว่า การลงทุนวิจัยของภาคเอกชนนับจากปี 2551-2556 เพิ่มขึ้นจาก 7,273 ล้านบาท เป็น 26,768 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 368 เปอร์เซ็นต์
นโยบาย Talent Mobility จะช่วยให้เกิดการดึงศักยภาพนักวิจัยไทยที่กระจุกตัวอยู่ในมหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยของรัฐจำนวนมากมาช่วยพัฒนาเทคโนโลยีของภาคเอกชน อีกทั้งยังเชื่อมโยงการทำงานระหว่างมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของรัฐ ก่อให้เกิดการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างองค์ความรู้ใหม่ระหว่างกัน
“หลังจากนี้กฎเกณฑ์ที่ทำให้นักวิจัย และนักเรียนทุนรัฐบาลไม่สามารถไปปฏิบัติงานในภาคเอกชนได้จะถูกคลี่คลาย ผู้ไปปฏิบัติงานภายใต้นโยบาย Talent Mobility ให้ถือเป็นการปฏิบัติงานเต็มเวลา ให้นับเป็นอายุราชการ สำหรับผู้ที่มีข้อผูกพันตามสัญญาชดใช้ทุน ให้นับเป็นเวลาใช้ทุนตามสัญญาด้วย อีกทั้งให้บุคลากรดังกล่าวใช้ผลการปฏิบัติงานในภาคเอกชน เป็นผลงานขอตำแหน่งทางวิชาการ รวมถึงขอขึ้นเงินเดือนตามเกณฑ์ที่หน่วยงานต้นสังกัดจะจัดทำขึ้นได้ด้วย” รมว.วิทยาศาสตร์ฯ กล่าว
ด้าน ดร.สัมพันธ์ ศิลปะนาฎ รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล(ประเทศไทย) ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่สนใจนโยบาย Talent Mobility กล่าวว่า โครงการนี้จะช่วยให้เอกชนได้รับประโยชน์จากศักยภาพของนักวิจัยภาครัฐที่จะร่วมกันพัฒนาสิ่งที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ ผลักดันให้ก้าวข้ามผ่านประเทศที่มีรายได้ปานกลางได้
ขณะที่ ดร.ปราการเกียรติ ยังคง อาจารย์จากสถาบันวิทยากรหุ่นยนต์ภาคสนาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในฐานะเป็นผู้แทนนักวิจัยและนักเรียนทุนที่อยู่ในโครงการนำร่อง Talent Mobility กล่าวว่า การได้มีโอกาสได้ทำงานกับภาคเอกชนคือประสบการณ์ที่มากกว่าในห้องเรียน สิ่งที่ได้คือ “ประสบการณ์จริง” จากการทำงาน จากอาจารย์ที่แค่เพียงสอน แต่ทุกวันนี้ต้องตอบคำถามจากประสบการณ์จริงของลูกศิษย์ที่ได้ทำงานกับภาคเอกชน ทำให้มีความรู้เพิ่มขึ้นทั้ง 2 ทาง
ทั้งหมดข้างต้นพอจะบ่งชี้ให้เห็นว่า Talent Mobility น่าจะเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่เข้ามาช่วย “ปลดล็อก” การพัฒนานักวิจัยของไทยให้กล้าแข็งขึ้น เพราะมีการเชื่อมรัฐกับเอกชนมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยเชื่อมนักวิจัยเข้ากับแหล่งทุนด้วย ซึ่งท้ายที่สุดก็จะส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี