“.....น้องสาวต้องผ่าตัดด่วน ต้องการ “เลือด” กรุ๊ป AB” ด่วน!!!
“ต้องการ “เลือด” กรุ๊ป AB negative ด่วน!!!...ฯลฯ
ข้างต้นเป็นบางตัวอย่างของการร้องขอความช่วยเหลือ “บริจาคเลือด” เพื่อใช้ยื้อชีวิตผู้ป่วยที่ปรากฏให้เห็นบ่อยครั้ง บ่งชี้ให้เห็นว่า “สต็อกเลือด” กำลังวิกฤติ!!!
กระทั่งไม่นานมานี้ปรากฏภาพและถ้อยคำ…..“กาชาด เลือดช็อต หมดสต็อก วิกฤติขาดแคลนทั่วประเทศ” ถูกแชร์ต่อในโลกโซเชียลมีเดีย ทำให้เกิด “คำถาม” ว่าที่ผ่านมา “สภากาชาดไทย” มีการประกาศรับบริจาคเลือดอยู่เป็นประจำ แต่ “ทำไม” ยังเกิดปัญหาขึ้น.???
แพทย์หญิง(พญ.) สร้อยสอางค์ พิกุลสด ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวว่า สถานการณ์คลังเลือดในประเทศไทยขึ้นๆลงๆ เหมือน “ขายของ” วันนี้ขายดีแต่พรุ่งนี้อาจขายไม่ดี เมื่อขายไม่ดีก็ต้อง “ควักเนื้อ” เหมือนการบริจาคเลือดที่ต้องลุ้นว่าผู้คนจะเข้ามาบริจาคหรือไม่ เราจึงพยายามจัดกิจกรรมต่างๆเพื่อกระตุ้นให้มีคนมาบริจาคเลือดทุกวัน ซึ่งปกติเรามีเลือดอยู่ 1,500-1,600 ยูนิต แต่การจัดกิจกรรมในวันสำคัญทำให้มีเลือดเพิ่มเฉลี่ยเป็น 2,000 ยูนิต แต่ใช่ว่าเลือดที่เพิ่มมา 400-500 ยูนิต จะเพียงพอ เพราะเราต้องกระจายเลือดทุกวัน วันรุ่งขึ้นก็ใช้แทบหมดแล้ว
“ตอนนี้สภากาชาดไทยแทบจะไม่มีเลือดเก็บอยู่ในมือ โดยเราตั้งเกณฑ์เลือดสำรองไว้ที่ 3 วัน หรือ 5,000 ยูนิต แต่ขณะนี้มีเลือดอยู่ในมือเพียง 1,600 ยูนิต แปลว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่มีผู้มาบริจาคเลือดเลยก็เป็นอันจบสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการเลือด” พญ.สร้อยสอางค์ กล่าว
ถามว่าเลือดกรุ๊ปใดสำคัญที่สุด..... “คำตอบ” คือ สำคัญทุกกรุ๊ป!!!
พญ.สร้อยสอางค์ กล่าวว่า เลือดมีความสำคัญทุกกรุ๊ป แต่คนไทยส่วนใหญ่มีเลือด “กรุ๊ป O” ทำให้บางช่วงเลือดกรุ๊ป O ไม่เพียงพอต่อผู้ป่วย เพราะผู้ป่วยกรุ๊ป O มีจำนวนมาก จำเป็นต้องใช้เลือดในการผ่าตัดมาก อย่างมีผู้ป่วยเลือดกรุ๊ป O ต้อง “ผ่าตัด” พร้อมกัน 2 ราย แพทย์ก็ต้องเตรียมเลือดสำรองไว้ ถ้าเลือดไม่พอแพทย์ก็ต้องพิจารณาว่าคนไข้รายใดควรได้เลือดก่อนทำให้ผู้ป่วยบางรายถูก “เลื่อน” การผ่าตัดออกไป
“เวลาเลือดไม่พอก็กระทบไปทั่ว เหมือนงูกินหาง อย่างกรุ๊ป O มอบให้ผู้ป่วยได้เกือบทุกกรุ๊ป เวลากรุ๊ปอื่นไม่พอก็มาดึงกรุ๊ป O ไป คราวนี้กรุ๊ป O ก็ขาดแคลน จึงพูดไม่ได้ว่าเลือดกรุ๊ปไหนสำคัญที่สุด ทุกกรุ๊ปมีความหมายกับผู้ป่วยเท่าเทียมกัน” พญ.สร้อยสอางค์ กล่าว
แม้คลังเลือดจะประสบภาวะช็อต แต่ใช่ว่า “สภากาชาดไทย” จะรับบริจาคเลือดแบบ “เหมาหมด” ทว่ากลับมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด โดย พญ.สร้อยสอางค์ กล่าวว่า แม้จะต้องการเลือดจำนวนมาก แต่ก็มี “หลักเกณฑ์” ในการรับบริจาค โดยจะรับบริจาคเพียง 1 ถุงต่อคน แยกเป็น “ถุงใหญ่” กับ “ถุงเล็ก” โดยถุงใหญ่เหมาะกับผู้ที่เคยบริจาคแล้ว ปริมาณสูงสุดอยู่ที่ 450 ซีซี. ส่วนถุงเล็กเหมาะกับผู้ที่ไม่เคยบริจาคเลือดเลย ปริมาณอยู่ที่ไม่เกิน 350 ซีซี
นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบ “โรค” ของผู้มาบริจาค โดยตรวจสอบว่าเป็นโรคที่ควบคุมได้หรือไม่ และโรคนั้นต้องไม่กระจายไปสู่ผู้ป่วย เช่น โรคเบาหวาน , โรคหัวใจ , ความดันโลหิตสูง , โรคหอบหืด หรือโรคลมชัก เป็นต้น ถ้าอยู่ในกลุ่มนี้เราไม่สามารถรับบริจาคได้
พญ.สร้อยสอางค์ กล่าวด้วยว่า ในกลุ่มที่มี “พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ” เสี่ยงต่อการติดเชื้อ อย่างโรคซิฟิลิส หรือ “เอดส์” โดยเฉพาะ “กลุ่มชายรักชาย” ส่วนใหญ่เราจะขออนุญาตไม่รับบริจาค เพราะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง อาจทำให้ผู้ป่วยที่รับเลือดเสี่ยงไปด้วย โดยเรามี “หน่วยคัดกรอง” ผู้ที่มาบริจาคโลหิตว่าเหมาะสมหรือไม่ หากตอบคำถาม “ผ่าน” และเจ้าหน้าที่คัดกรองแล้วว่าไม่มีความเสี่ยง จึงจะปล่อยผ่านได้
“กลุ่มชายรักชายมีความเสี่ยงที่สุดต่อการติดเชื้อเอดส์ ถ้ามาบริจาคเลือดเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องอธิบายเหตุผลให้ฟังว่าเพราะอะไรจึงไม่รับการบริจาค ตรงนี้เราต้องเข้มงวดเพราะนี่คือความเสี่ยง ผู้ป่วยไม่มีสิทธิ์เลือก ไม่รู้ว่าเลือดที่รับไปมีความเสี่ยงแค่ไหน สะอาดหรือไม่ แค่เห็นเลือดมาแขวนข้างเตียงก็ดีใจแล้ว เราจึงจำเป็นต้องรักษาสิทธิให้ผู้ป่วย” พญ.สร้อยสอางค์ กล่าว
พร้อมกับ ระบุว่า ต้องการให้ผู้ที่มีสุขภาพดีทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่เคยบริจาคเลือดแล้วหยุดไปออกมาบริจาคเลือดอีก โดยทุกคนควรบริจาคเลือดให้ได้อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ที่ผ่านมามีเพียงร้อยละ 40 ที่บริจาคเลือดมากกว่าปีละ 2 ครั้ง แต่อีกร้อยละ 60 บริจาคเลือดเพียงปีละ 1 ครั้ง ถ้าในร้อยละ 60 บริจาคเลือดเพิ่มอีกแค่ครั้งเดียวจะช่วยให้ “คลังเลือด” ขาดแคลนน้อยลง
หันมาตรวจสอบเรื่องความ “ชัวร์” ของเลือดจากการรับบริจาคว่ามีมากน้อยเพียงใด...???
นักเทคนิคการแพทย์(ทนพ.) “ภาคภูมิ เดชหัสดิน” นักเทคนิคการแพทย์ประจำฝ่ายตรวจคัดกรองโลหิต ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ยืนยันว่า ก่อนนำเลือดไปให้ผู้ป่วย ต้องตรวจหาเชื้อต่างๆก่อน เพื่อความปลอดภัยต่อผู้รับเลือด ซึ่งโรคที่ตรวจนั้นมีทั้งหมด 4 ตัว คือ 1.โรคซิฟิลิส 2.เชื้อเอชไอวี หรือเอดส์ 3.ไวรัสตับอักเสบบี และ 4.ไวรัสตับอักเสบซี โดยใช้การตรวจหาเชื้อ 2 วิธีหลัก คือ 1.การตรวจวิทยาเซรุ่ม หรือวิทยาน้ำเหลือง และ 2.การตรวจโดย Nucleic Acid Amplification Testing หรือ NAT ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งช่วยให้ได้ผลสรุปเร็วขึ้นจากเดิม 16 วัน เป็น 11 วัน
ถามว่า “เลือด” ที่ผ่านการตรวจปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ หรือไม่ “ภาคภูมิ” บอกว่า ตอบยากและขึ้นอยู่กับ 2 ประเด็น คือ 1.ระบบตรวจสอบของสภากาชาดไทยใช้วิธีที่ดีที่สุด ได้มาตรฐานสากลโลก จึงมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าปลอดภัย และ 2.ผู้บริจาคโลหิตต้องตระหนักต่อผู้ป่วย ถ้ารู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงก็ไม่ควรบริจาคเลือด เพราะเลือดที่นำไปให้ผู้ป่วยถ้ามีเชื้ออยู่ แค่ยูนิตเดียวก็ทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อได้
“เราใช้ 2 วิธีในการตรวจหาเชื้อ ขอให้มั่นใจว่าเลือดจากศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย มีความปลอดภัยสูงที่สุดเพราะตรวจด้วยระบบที่ดีที่สุดในโลก แต่จะปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้บริจาคว่าตระหนักต่อส่วนรวม และประพฤติตัวเป็นผู้บริจาคเลือดที่ดีเพียงใด” ทนพ.ภาคภูมิ กล่าว
ใน “วิกฤติ” ย่อมมีโอกาส.....
“คลังเลือด” ช็อต!!! เวลานี้ก็น่าจะเป็น “โอกาส” ให้ผู้คนหันมามองปัญหา และตระหนักถึงการบริจาคเลือดที่ “แท้จริง” มากขึ้น ไม่ใช่แห่ไป “เจาะแขน” เฉพาะเทศกาลสำคัญ หรือทำตาม “แฟชั่น” ซึ่งไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ “ยั่งยืน” และหากยังเป็นเช่นนี้ “คลังเลือด” ก็คงช็อตอยู่เรื่อยไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี