กว่า 8 ปีแล้วที่เรารู้จักหุ่นตำรวจจราจรที่เรียกกันติดปากว่า “จ่าเฉย” ที่ไม่ว่าจะฝนตกแดดออก จ่าเฉยไม่ยี่หระ ยังคงยืนทำหน้าที่อยู่บริเวณคอสะพาน หรือสี่แยกไฟแดงต่างๆ อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ภายใต้ภารกิจหลักเพื่อ “ป้องปราม” ผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะไม่ให้กระทำผิด “กฎจราจร”
อย่างไรก็ดี จ่าเฉยโดน “พักราชการ” ไปกว่า 1 ปี เพราะถูกร้องเรียนว่า “ละเลย” การปฏิบัติหน้าที่ แต่วันนี้จ่าเฉย “คัมแบ๊ก” กลับมาปฏิบัติหน้าที่อีกครั้งในรูปแบบใหม่ที่พิเศษกว่าเดิม คือ รับภารกิจ.....
“แจกใบสั่ง”!!!
ภารกิจใหม่ของ “จ่าเฉย” ครั้งนี้ ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ร่วมกับกองบังคับการตำรวจจราจร(บก.จร.) ได้ปรับปรุง “จ่าเฉย” ให้สามารถวิเคราะห์ตรวจจับรถที่ “ฝ่าเส้นทึบ” หรือมักจะเบียด “แทรกตามคอสะพาน” ได้ พร้อมออกใบสั่งได้โดยอัตโนมัติ ภายใต้ระบบที่เรียกว่า “จ่าเฉยอัจฉริยะพร้อมระบบออกใบสั่งอัตโนมัติ”
การทำงานของ “จ่าเฉยอัจฉริยะ” โฉมใหม่ครั้งนี้ ทางคณะนักวิจัยนำโดย ดร.วรลักษณ์ บุษยรัตน์ หัวหน้าโครงการวิจัย สังกัดมหาวิทยาลัยนเรศวร และ ผศ.ดร.มงคล เอกปัญญาพงศ์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย อธิบายว่า “ระบบจ่าเฉยอัจฉริยะพร้อมระบบออกใบสั่งอัตโนมัติ” แบ่งการทำงานหลักออกเป็น 2 ส่วน คือ ระบบวิเคราะห์รายละเอียดของรถยนต์ที่กระทำความผิดกฎจราจรโดยอัตโนมัติ และระบบออกใบสั่งอัตโนมัติ
คณะผู้วิจัยระบุว่า ระบบวิเคราะห์รายละเอียดฯ จะทำการ “รับภาพ” ข้อมูลการกระทำผิดกฎจราจรจากระบบ “โพลิส อายส์”(Police Eyes) ซึ่งจะตรวจจับยานพาหนะที่เคลื่อนที่ทับเส้นทึบโดยอัตโนมัติ และบันทึกภาพถ่ายความละเอียดสูง พร้อม “คลิปวีดีโอ” เพื่อให้ตำรวจสามารถอ่านป้ายทะเบียนของยานพาหนะแต่ละคันได้ ภาพดังกล่าวจะถูกใช้เป็นข้อมูลนำเข้าของระบบวิเคราะห์รายละเอียดของรถยนต์ที่กระทำผิด จากนั้น “ผลลัพธ์” ที่ได้จะถูกส่งต่อไปให้ระบบออกใบสั่งอัตโนมัติเพื่อทำการสร้าง “ใบสั่ง” และรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบความถูกต้องก่อนออกใบสั่ง “ข้อหาฝ่าฝืนเปลี่ยนช่องทางจราจรในเขตห้าม(เส้นทึบ)”
สำหรับระบบวิเคราะห์รายละเอียด ประกอบด้วย…..
1.ระบบอ่านป้ายทะเบียนรถ แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนกระบวนการค้นหาตำแหน่งของป้ายทะเบียนรถบนภาพ ส่วนกระบวนการค้นหาตำแหน่งของตัวอักษรและตัวเลขบนภาพป้ายทะเบียนรถ และส่วนกระบวนการเรียนรู้และจดจำตัวอักษรและตัวเลขของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งอ่านเลขป้ายทะเบียนรถและจังหวัดได้
2.ระบบอ่านยี่ห้อรถ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนกระบวนการหาตำแหน่งของยี่ห้อรถ และส่วนกระบวนการบอกยี่ห้อของรถ ซึ่งจากการศึกษายี่ห้อรถยนต์ในประเทศไทย พบว่า มีอยู่ประมาณ 15 ยี่ห้อ และแบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยใช้รูปร่างของยี่ห้อเป็นเกณฑ์ในการแบ่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการอ่าน
3.ระบบอ่านประเภทรถ ใช้เทคนิคการหาลักษณะเด่น ซึ่งอาศัยความถี่ของทิศทางตามค่าเกรเดียนท์ภายในภาพ เพื่อจำแนกรถแต่ละประเภท แบ่งเป็น เก๋งสองตอน เก๋งสองตอนแวน รถกระบะบรรทุก รถตู้นั่งสี่ตอน รถบรรทุก รถโดยสาร และรถจักรยานยนต์ และ 4.ระบบแยกแยะสีรถ รวม 12 สี คือ แดง ส้ม น้ำตาล เหลือง เขียว น้ำเงิน ม่วง ชมพู ขาว ดำ เทาและหลายสี
ส่วน “ระบบออกใบสั่งอัตโนมัติ” ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ ระบบประมวลผลภาพและระบบออกใบสั่งอัตโนมัติ โดยระบบออกใบสั่งอัตโนมัติจะรับข้อมูลภาพจากระบบตรวจจับอัตโนมัติอื่นได้เช่นกัน โดยทีมวิจัยได้พัฒนาส่วนติดต่อสำหรับระบบตรวจจับการขับรถ “แทรกคอสะพาน” โดยอัตโนมัติ ซึ่งใช้ข้อมูลนำเข้าเป็นภาพถ่ายความละเอียดสูงและภาพเคลื่อนไหวของยานพาหนะที่กำลังฝ่าฝืนกฎจราจร จากนั้นนำข้อมูลไปค้นหาในฐานข้อมูลทะเบียนรถที่ บก.จร.เพื่อตรวจหาข้อมูลเกี่ยวกับรถ เช่น สี ประเภท ยี่ห้อ ข้อมูลเจ้าของรถหรือผู้ครอบครอง และที่อยู่ของผู้ครอบครองรถเพื่อส่ง “ใบสั่ง” ไปที่บ้านแบบเดิม
ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการ สกว.กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการต่อยอดจากโครงการติดตั้งกล้องให้จ่าเฉยเดิมเมื่อ 2 ปีก่อน ที่พบปัญหาคือ ตำรวจจราจรต้องใช้เวลาเกือบ 5 นาที เพื่อดึงภาพจาก “กล้องจ่าเฉย” มาประมวลผลเพื่อออกใบสั่ง แต่ระบบใหม่จะประมวลผลได้เอง จากภาพจะเห็นชัดเจนถึงทะเบียนรถ สี ยี่ห้อ และจะส่งภาพแบบเรียลไทม์มาที่ บก.จร. นอกจากนี้ในอนาคตยังสามารถนำมาขยายผลเพื่อการตรวจจับ “ป้ายทะเบียนปลอม” หรือการทำผิดกฎหมายแบบอื่นได้
ขณะที่ พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) กล่าวว่า โครงการนี้จะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาในการออกใบสั่งไม่เกิน 1 นาที เบื้องต้นจะ “นำร่อง” ใช้จ่าเฉยอัจฉริยะรุ่นใหม่นี้บริเวณทางลง “อุโมงค์ลอดใต้แยกสุทธิสาร” ซึ่งมีปัญหาผิดกฎหมายสูงถึงวันละกว่า 500 ครั้ง ภายในเดือนเมษายนนี้ ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างของบประมาณเพื่อจัดซื้อและติดตั้ง 100 จุด ทั่ว กทม.เพื่อเป็นการกวดขันวินัยจราจร ลดอุบัติเหตุ และแก้ปัญหาจราจรติดขัดได้
“ตัวระบบจะแจ้งว่าหากภายใน 30 วัน ผู้ขับขี่ยังไม่มีการมาชำระค่าปรับ จะมีบันทึกข้อมูลเพื่อออกเป็นหมายเรียก จากนั้นอีก 30 วัน หากยังไม่มีการชำระค่าปรับอีก จะออกหนังสือเพื่อส่งไปยังกรมการขนส่งทางบกให้อายัดทะเบียนต่อไป นอกจากนี้หากผู้ขับขี่มีข้อข้องใจสามารถนำหมายเลขทะเบียนรถ พร้อมรหัสผ่านที่ระบุไว้ในใบสั่ง มากรอกได้ที่เว็บไซต์ บก.จร. เพื่อขอตรวจสอบคลิปวีดีโอที่ระบบบันทึกไว้ได้เพื่อตัดปัญหาหากมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น” รอง ผบช.น.กล่าว
ส่วน พล.ต.ต.อภิสิทธิ์ เมืองเกษม ผบก.จร. กล่าวว่า ระบบตรวจจับนี้จะช่วยสร้างระเบียบวินัยจราจรแก่ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนยิ่งขึ้น อีกทั้งงานวิจัยดังกล่าวยังสามารถรองรับการตรวจจับการกระทำผิดกฎจราจรอัตโนมัติอื่นๆในอนาคตอีกด้วย เช่น ขับรถเร็วเกินกำหนด จอดรถในที่ห้ามจอด ขับขี่จักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย เป็นต้น
ภารกิจใหม่ของ “จ่าเฉย” ครั้งนี้ จะเริ่มปฏิบัติการในเดือนเมษายน ดังนั้นพวก “จอมเบียด-จอมปาด” ทั้งหลายที่คิดจะทำผิดกฎจราจรพึงระวังเอาไว้ให้ดี เพราะ “จ่าเฉย” รอแจก “ใบสั่ง” อยู่.....
งานนี้จะยัด “เครื่องดื่มชูกำลัง” สักกี่ขวดก็ช่วยไม่ได้!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี