ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกล เรื่องของ “สื่อ” นับวันก็จะยิ่งมีความหลากหลายมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งสื่อดั้งเดิมก็มีความเปลี่ยนแปลงหลากหลายขึ้น ขณะที่สื่อใหม่อย่าง “โลกออนไลน์”ได้กลายเป็นช่องทางหาผลประโยชน์ขององค์กรต่างๆ ผ่าน “โฆษณา” ซึ่งในจำนวนนี้ก็เป็นโฆษณาที่สร้างปัญหาให้สังคม เช่น การขายอาหารเสริม-เครื่องสำอางที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ไปจนถึงการเชิญชวนให้เข้าไปเล่นการพนันผ่านเว็บไซต์
กลุ่มเป้าหมายสำคัญ..หนีไม่พ้น “เยาวชน” ที่ยังมีวุฒิภาวะไม่เพียงพอ!!!
ดังที่ นายพอล เอ.วัตเตอร์ อาจารย์และผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยแมสซี ประเทศนิวซีแลนด์ เปิดเผยในงานเสวนา “ปัญหาโฆษณาในระบบสื่อออนไลน์” เมื่อ 21 มี.ค. 2558 ระบุว่า จากการสำรวจเว็บไซต์-เว็บเพจยอดนิยมรวม 430 แห่ง พบว่ามีโฆษณาที่เป็นอันตรายต่อเยาวชนอยู่หลากหลายประเภท
อาทิ ที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ เช่น เชิญชวนให้เข้าไปชมภาพและคลิปลามกอนาจาร, ขายยาหรืออุปกรณ์เพิ่มขนาดของอวัยวะเพศชาย, เว็บไซต์หาคู่และออกเดท รวมแล้วร้อยละ 62.22 เว็บไซต์การพนันออนไลน์ ทั้งทายผลฟุตบอล หรือเล่นพนันกับบ่อนต่างๆ บนอินเตอร์เนต ร้อยละ 16.05 ขณะที่โฆษณาปกติที่ไม่มีพิษภัยและไม่ผิดกฎหมาย มีเพียงร้อยละ 6.26 เท่านั้น
ชัดเจน..พื้นที่ส่วนใหญ่บนโลกออนไลน์ ถูกยึดครองโดย “สื่อมืด” ไปเสียแล้ว!!!
ขณะที่ ดร.จินตนันท์ ชญาตร์ศุภมิตร สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และกรรมการมูลนิธิพิทักษ์และคุ้มครองเด็ก ยกตัวอย่างหนึ่งที่น่าเป็นห่วง คือบรรดาโฆษณาเครื่องสำอางและอาหารเสริม ได้สร้างให้ผู้รับสื่อมีนิสัย “ไม่เคารพในความแตกต่างกันของมนุษย์” โดยเชิดชูอัตลักษณ์ใดอัตลักษณ์หนึ่ง ว่าเป็นอัตลักษณ์เดียวที่มีคุณค่าเหนืออัตลักษณ์อื่นๆ เช่นที่เห็นกันบ่อยๆ คือเรื่องของ “ขาวเท่ากับสวย” ที่กำลังเป็นปัญหามากในสังคมไทย
ล่าสุด..แม้แต่ระดับ “นางงาม” ยังโดนแฟนละคร “เหยียด” มาแล้ว ว่าไม่ควรเป็น “นางเอก”!!!
เพียงเพราะเธอ “ผิวคล้ำ” กว่าดาราสาวคนอื่นๆ!!!
“ทุกวันนี้การโฆษณายังขาดความเคารพในศักดิ์ศรีและคุณค่าของความเป็นมนุษย์ โดยการนำเอาสิ่งเร้าใจทางเพศมาเป็นจุดหลักในการดึงความสนใจจากผู้บริโภค หลอกลวงผู้บริโภคด้วยการส่งต่อความเชื่อที่ผิด จนสามารถล้างสมองเยาวชนให้เข้าใจว่าการมีอัตลักษณ์ใดอัตลักษณ์หนึ่งเท่านั้นจึงจะเป็นที่ยอมรับในสังคม” สนช. รายนี้ กล่าว
ไม่เพียงแต่โฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ที่สร้างค่านิยมผิดๆ เท่านั้น ปัญหาเดิมๆ อย่างสื่อลามกก็เช่นกัน ดังจะเห็นได้จากทุกวันนี้ เราสามารถหาภาพและคลิปโป๊เปลือยได้ทั่วไปบนโลกออนไลน์ และที่น่ากลัวคือไม่น้อยเลยเป็นภาพและคลิปของเด็กและเยาวชนอายุน้อยๆ หรือข้อเขียนจำพวก “วรรณกรรมใต้ดิน” ที่ว่าด้วยเรื่องเพศ หลายเรื่องมีเนื้อหาชี้ชวนให้ผู้อ่านอยากมีเพศสัมพันธ์กับผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
จากกรณีเหล่านี้ จึงเป็นที่มาของความพยายามออกกฎหมายห้ามครอบครองและเผยแพร่สื่อลามกเด็ก ซึ่งในหลายประเทศก็มีกฎหมายนี้ และมีบทลงโทษค่อนข้างรุนแรง เช่น ในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2554 กับกรณีของ หนุ่มจากมลรัฐอินเดียนารายหนึ่ง ถูกศาลตัดสินจำคุก 315 ปี หลังถูกจับกุมข้อหาผลิตและเผยแพร่ภาพลามกของเด็ก โดยภาพลามกเด็กที่หนุ่มรายนี้ผลิตขึ้น บางภาพเป็นเด็กอายุเพียง 2 เดือน-4 ขวบ เท่านั้น
ขณะที่บ้านเรา ยังคงต้องลุ้นกันต่อไปว่าจะมีกฎหมายนี้หรือไม่? หลังการประชุม สนช. เมื่อ 19 ก.พ.2558 ดร.จินตนันท์ ได้เสนอ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่มีเนื้อหาให้กำหนดคำนิยามของสื่อลามกอนาจารเด็ก เข้าไปในวาระการพิจารณา
“เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ดิฉันก็ได้เสนอประมวลกฎหมายอาญาสื่อลามกเด็กเข้าไปสู่สภา โดยเป็นกฎหมายร่างประวัติศาสตร์ที่เสนอโดย สนช. เพราะดิฉันได้ดำเนินการเรื่องนี้มา 8 ปี 4 รัฐบาล ไม่สำเร็จ ผลสุดท้ายได้แค่ตั้งกรรมาธิการ เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงเสียก่อน เมื่อมีโอกาสตั้ง สนช.ขึ้นมา ก็สามารถเสนอกฎหมายเองได้ ดิฉันจึงเสนอแล้วได้การตอบรับกลับมาดีมาก เมื่อได้ตอบรับกลับมาเพราะฉะนั้นดิฉันได้รับวาระหนึ่ง และได้แถลงต่อสภาไปแล้วเรียบร้อยค่ะ” ดร.จินตนันท์ ระบุ
อย่างไรก็ตาม ลำพังมาตรการทางกฎหมายอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ เพราะเป็นเรื่องของการปราบปรามเหตุที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ต้องเสริมด้วยการให้ความรู้ความเข้าใจด้านการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ซึ่งเป็นการป้องกันก่อนเกิดเหตุ โดย นางศรีดา ตันทะอาธิพานิช ผู้จัดการมูลนิธิอินเทอร์เน็ตพัฒนาไทย กล่าวว่า ในหลายประเทศมีการให้ความรู้นี้กับประชาชนตั้งแต่อายุน้อยๆ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของโฆษณาที่อวดอ้างเกินจริง
“ในต่างประเทศมีการให้นักเรียนได้เรียนรู้วิชารู้เท่าทันสื่อและโฆษณา เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เยาวชน ไม่หลงเชื่อในการโฆษณาที่เกินจริงต่างๆ และสามารถวิเคราะห์สิ่งที่มีประโยชน์มากกว่าการเชื่อตามสื่อต่างๆ เมื่อเทียบกับประเทศไทยที่ยังไม่มีการเข้มงวดเรื่องนี้มากนัก” ผู้จัดการมูลนิธิอินเทอร์เน็ตพัฒนาไทย ฝากทิ้งท้าย
ยุคสมัยที่อะไรๆ ก็หาได้เพียงปลายนิ้ว “คลิกเดียว” ซึ่งด้านหนึ่งก็มีประโยชน์มหาศาลสำหรับการค้นคว้าความรู้ แต่อีกด้านหนึ่ง มันได้นำพา “สิ่งที่ไม่พึงปรารถนา” ติดมาด้วย และจะว่าไปไม่เพียงแต่เด็กเท่านั้นที่อาจตกเป็นเหยื่อ แต่ผู้ใหญ่ก็มีความเสี่ยงไม่แพ้กัน
เห็นได้จากการ “แชร์” หรือการส่งต่อภาพหรือข้อความต่างๆ ผ่านสื่อออนไลน์ จนกลายเป็นข่าวลือใหญ่โต กระทั่งมาพบภายหลังว่าเป็นเพียงการจัดทำขึ้นของผู้ไม่หวังดี แต่ก็ได้สร้างความเสียหายไปแล้ว เช่น การนำภาพที่ดูหดหู่น่าเวทนา มาเรียกความน่าสงสารแล้วเปิดบัญชีหลอกให้โอนเงิน โดยอ้างว่าจะนำไปช่วยบุคคลดังกล่าว เป็นต้น หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์เสริมความงามอวดอ้างเกินจริง บ่อยครั้งคนหลงเชื่อและซื้อหามาใช้ ก็เป็นคนวัยทำงานเช่นกัน
โลกออนไลน์..มีคุณอนันต์มากเพียงใด ก็มีโทษมหันต์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน!!!
โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล!!!
ชนัดดา บุญครอง
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี