เรื่องวุ่นๆ ระหว่าง “แท็กซี่” กับ “ผู้โดยสาร” ที่ถูกเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดีย ยังคงมีให้เห็นเป็นระยะๆ อย่างล่าสุดเมื่อไม่นานนี้ กับกรณีคลิปโชเฟอร์แท็กซี่คว้าประแจไล่ทำร้ายชายหนุ่มรายหนึ่ง หลังโมโหที่หนุ่มรายดังกล่าวซึ่งเป็นผู้โดยสาร ใช้เท้าถีบไปที่รถแท็กซี่ของตน
ในเวลาต่อมา หนุ่มรายนี้บอกเล่าผ่านกระทู้บนเว็บไซต์ดังอย่าง Pantip.com ระบุว่า ตนนั้นขึ้นรถมากับหญิงสาว 2 คน ตกลงกันว่าจะไปส่งคนหนึ่งก่อนแล้วค่อยเลยไปส่งตนและหญิงสาวอีกคนที่ปลายทาง ปรากฏว่าหญิงคนนั้นขอลงก่อนถึงที่หมายโดยที่ยังไม่ใช่ที่หมายของตน จากนั้นผู้โดยสารรายนี้ก็ขอให้คนขับแท็กซี่ขับเลยไปอีกหน่อยเพื่อกลับรถไปจอดยังฝั่งตรงกันข้าม สร้างความไม่พอใจในกับคนขับ พร้อมกับพูดออกมาว่า “จะใช้ผมให้คุ้มเลยใช่ไหม?” และไล่ตนลงจากรถ จากนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
หลังกระทู้ดังกล่าว ถูกเผยแพร่ความเห็นบนโลกออนไลน์ก็แตกออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งมองว่าผู้โดยสารสามารถใช้แท็กซี่ไปส่งตามจุดต่างๆ ได้เต็มที่โดยที่คนขับต้องไม่กดมิเตอร์ใหม่ แม้จะเป็นการไปส่งคนละเส้นทางก็ตาม เพราะตราบใดที่รถยังวิ่งอยู่ มิเตอร์ก็ยังเคลื่อนไปเรื่อยๆ คนขับ
ก็ยังได้เงินจากจุดนี้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งมองว่าการกระทำแบบนี้ถือว่าไม่สมควร เพราะเป็นการเอาเปรียบคนขับแท็กซี่มาก
เกินไป และคนขับแท็กซี่มีสิทธิ์ที่จะกดมิเตอร์ใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนเส้นทาง หรือแม้กระทั่งปฏิเสธไม่ไปส่งตามเงื่อนไขดังกล่าว
นายวิฑูรย์ แนวพานิช ประธานเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ในเขตกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ต้องแยกออกเป็น 2 กรณี ระหว่างการไปส่งยังปลายทางเส้นเดียวกันแล้วมีผู้โดยสารบางคนขอลงระหว่างทางเส้นนั้น กรณีแบบนี้มักไม่มีปัญหาอะไร และคนขับแท็กซี่ก็จะไม่กดมิเตอร์ใหม่
แต่ที่มีปัญหา คือกรณีผู้โดยสารขึ้นมาแล้วให้ไปส่งคนละจุด-คนละเส้นทาง ทำให้คนขับแท็กซี่รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ และต้องการกดมิเตอร์ใหม่ อย่างไรก็ตาม ตนก็อยากให้ “ลดทิฐิ” ลงบ้างทั้งสองฝ่าย โดยคนขับควรเข้าใจว่าอาชีพขับแท็กซี่เป็นอาชีพบริการ ควรมีความใจเย็นควบคุมสติอารมณ์บ้าง ขณะเดียวกัน ผู้โดยสารก็อย่าเอาเปรียบแท็กซี่มากจนเกินไป
“บางทีแท็กซี่ก็เข้าใจผิด บางครั้งผู้โดยสารก็เข้าใจผิด เขาก็จะดูว่าใครจะได้ประโยชน์ตรงไหน ที่ผ่านมาปัญหาตรงนี้
ไม่มากนัก มันมาเกิดเหตุที่ต้องมาพูดกันมาก ก็เหตุการณ์ที่คนขับลงมาทำร้ายร่างกายผู้โดยสาร จึงมีการพูดประเด็นนี้มากขึ้น จากนี้ไปไม่ใช่ว่าใครจะโกงใคร แต่เขาอยากจะรู้กันว่าสิทธิของผู้โดยสารได้แค่ไหน? สิทธิของแท็กซี่ได้แค่ไหน? มันไม่มีเขียนบอกไว้ชัดเจน
ก็คงต้องเขียนกฏกติกาความเข้าใจ แต่วันนี้คนก็ตื่นตัวมากขึ้น อย่างผมไปบรรยายให้ผู้ขับแท็กซี่ฟังผมก็จะบอกเขาเสมอว่าอาชีพเราเป็นอาชีพบริการ อะไรที่ยืดหยุ่นได้ก็ทำ ต้องใจเย็นๆ ส่วนผู้ใช้บริการเองก็ต้องมีจิตใต้สำนึกบ้าง ถ้ามากัน 3 คนแล้วบอกเขาก่อนตั้งแต่แรก ว่าจะต้องไปส่งตรงนู้นจุดนึงตรงนี้จุดนึงแล้วคิดค่ามิเตอร์ครั้งเดียว ถ้าเขาโอเคก็โอเค แต่ผู้โดยสารส่วนมากจะไม่บอกก่อนมันก็จะเกิดปัญหา” นายวิฑูรย์ กล่าว
จากประเด็นนี้ เราได้สอบถามไปยัง กรมการขนส่งทางบก เพื่อความชัดเจน ซึ่งเจ้าหน้าที่รายหนึ่ง อธิบายว่า การใช้บริการแท็กซี่จากต้นสายแต่ทยอยกันลงคนละที่ ในมุมของผู้โดยสารอาจจะไม่รู้สึกว่าเป็นการเอาเปรียบ แต่หากมองในมุมของคนขับแท็กซี่ แทนที่จะได้ค่าต้นทางตามเส้นทางที่ไป-ส่งทุกครั้งที่มีการเริ่มเส้นทางใหม่ แต่กลับโดนผู้โดยสารให้คิดเหมารวมทั้งหมด
นี่ก็เป็นจุดที่น่าเห็นใจ..เพราะผู้โดยสารบางรายก็ “หัวหมอ” ไม่แพ้กัน!!!
“ส่วนใหญ่ที่มีปัญหากันคือตอนขึ้นไม่บอกเขา อย่างขึ้นไปดอนเมือง พอคนนึงลงเสร็จแล้วบอกเขาว่าต้องไปสุวรรณภูมิอีก แท็กซี่บางทีเขาต้องเเพลนเส้นทาง ที่เขายอมไปดอนเมืองเขาก็คงคิดว่าพอส่งเสร็จจะไปทางนู้นต่อแล้วก็วิ่งไป นี่ผมมองในมุมกลางๆนะ เพราะบางทีผมรู้สึกว่าผู้โดยสารก็เอาเปรียบ พอเกิดเหตุการณ์คนส่วนมากก็จะมองว่าแท็กซี่ผิด แต่พอมองลงไปลึกๆ ตัวผู้โดยสารเองอาจจะเป็นคนที่มีปัญหาก็ได้ ไม่ยอมให้ข้อมูลตั้งแต่แรกแล้วก็มาโกหกเขา เอาเปรียบเขา
แท็กซี่เขามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธนะถ้าบอกให้ไปหลายๆ ที่แบบอ้อมโลก เขาปฏิเสธได้เขาไม่ผิด แต่ถ้าบอกไปที่เดียวแล้วเขาปฏิเสธอันนี้ผิด ถ้าคุณบอกไป 3 ที่อ้อมโลกแล้วเขาไม่ไปแล้วคุณมาแจ้งกับกรม แล้วเราสืบเรื่องต่อๆ มาแล้วเจอแบบนี้ เราก็ไม่รับแจ้งนะเพราะมันไม่ถูก คุณเอาเปรียบเขา” แหล่งข่าวจากขนส่ง รายนี้ ระบุ
สอดคล้องกับคำยืนยันของ นายจิรุตม์ วิศาลจิตร รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ที่กล่าวว่า หลักการของการให้บริการรถแท็กซี่ คือ “แท็กซี่ทำหน้าที่รับส่งผู้โดยสารจากต้นทางจุดหนึ่งถึงปลายทางอีกจุดหนึ่งเท่านั้น” ดังนั้นแล้วการที่ผู้โดยสารหลายคนขึ้นรถคันเดียวกัน แต่ลงคนละจุดในลักษณะกระจายออกไปคนละเส้นทาง จึงถือว่าผิดต่อจุดประสงค์ที่แท้จริงของการใช้รถแท็กซี่
แน่นอนว่ากรณีแบบนี้..แท็กซี่มีสิทธิ์ “ปฏิเสธ” ไม่ไปส่งได้!!!
“หลักการของแท็กซี่คือการรับ-ส่งผู้โดยสารตามมิเตอร์ คือขึ้นต้นทางลงปลายทาง ทีนี้การที่ผู้โดยสารคนแรกลงระหว่างทาง ถ้าบอกแท็กซี่ไว้ก่อนว่าจะมีการลงระหว่างทางแล้วแท็กซี่เขายินยอมไปก็ไม่มีปัญหาอะไร แล้วสังคมไทยเป็นสังคมที่ยอมๆ กันได้ ถ้าแท็กซี่ตกลงก็อาจจะไปส่งให้ แต่ถ้ากรณีที่ขึ้น 3 คน แล้วลงคนละที่มันก็ผิดหลักการ แล้วในกรณีที่มีผู้โดยสารมาคุย มาตกลงให้ไปส่ง 3 จุด 4 จุด แท็กซี่ก็มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ เพราะมันขัดต่อหลักการ” รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ฝากทิ้งท้าย
จากเรื่องนี้ คงพอจะทำให้ได้ข้อสรุปแล้วว่า การใช้บริการแท็กซี่อย่างไรทำได้? อย่างไรที่ทำไม่ได้? สรุปง่ายๆ อีกครั้ง คือหากเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่ปลายทางเพียงจุดเดียว ไม่มีการออกนอกเส้นทาง กรณีนี้แม้จะมีผู้โดยสารบางคนลงระหว่างทาง ก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ และคนขับแท็กซี่ต้องไม่กดมิเตอร์ใหม่ ซึ่งการเรียกแท็กซี่แบบนี้ หากแท็กซี่ไม่ไปถือว่ามีความผิดฐานปฏิเสธผู้โดยสาร
แต่หากเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งยังปลายทางจุดหนึ่ง ทว่าระหว่างทางมีการให้ออกนอกเส้นทางไปส่งผู้โดยสารคนละจุด กรณีนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างคนขับกับผู้โดยสาร ซึ่งคนขับแท็กซี่ก็สามารถปฏิเสธไม่ไปส่งได้โดยที่ไม่มีความผิดแต่อย่างใด อีกทั้งยังสามารถขอกดมิเตอร์ใหม่ในทุกครั้งที่ออกนอกเส้นทางอีกด้วย
โปรดเข้าใจตรงกันตามนี้!!!
ปรัชญาวดี สินทวี
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี